ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงเวลา 02.00 น. ของเช้าวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นลิเวอร์พูล รองแชมป์เก่า พบกับนอริช ซิตี้ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด
แต่ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น เราไปสำรวจดูถึงความเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปิดฤดูกาลที่มีทั้งการเปลี่ยนกฎกติกาการแข่งขัน การนำเอาระบบ VAR วิดีโอช่วยตัดสินมาใช้อย่างเป็นทางการในฤดูกาลแรก ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการแข่งขันในรูปแบบใดบ้าง ยังไม่มีใครรู้
เช่นเดียวกับการแข่งขันสู่ตำแหน่งแชมป์ที่ดุเดือดขึ้นทุกฤดูกาล ส่งผลให้ช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะที่ผ่านมา มีนักเตะหน้าใหม่หลายคนที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาสร้างผลกระทบให้กับทีมใหม่ของพวกเขา
และนี่คือ 5 สิ่งใหม่ที่เราจะได้เห็นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20
VAR วิดีโอช่วยตัดสินอย่างเต็มตัวเป็นฤดูกาลแรก
พรีเมียร์ลีกอังกฤษถือเป็นลีกสุดท้ายใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ที่นำระบบ VAR วิดีโอช่วยตัดสินเข้ามาใช้อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มต้นใช้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2019/20 นี้
โดยข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สำหรับ VAR ส่วนใหญ่มองว่า การใช้งานระบบนี้ บ่อยครั้งในระหว่างการแข่งขันจะทำลายอรรถรสในการรับชมเกมฟุตบอลที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องของเกม
ก่อนที่เราจะตั้งคำถามว่า VAR ส่งเสริมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอย่างไรบ้าง เราจำเป็นต้องแบ่งคำถามเกี่ยวกับระบบ VAR ออกเป็น 2 หัวข้อ
ข้อแรกคือ การหาคำตอบว่า VAR ช่วยให้ผลการตัดสินของกรรมการผู้ชี้ขาดในสนามมีความแม่นยำขึ้นหรือไม่
ซึ่งจากสถิติของทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA จากศึกฟุตบอลโลกหญิงชี้ว่า ผลการตัดสินทั้งหมด 100% มีทั้งหมด 93.08% ที่ตัดสินอย่างถูกต้องโดยไม่ได้ใช้ VAR แต่หลังจากใช้ VAR สถิติเพิ่มขึ้นเป็น 98.5% ดังนั้น จึงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า VAR ช่วยให้เกมยุติธรรมและลดข้อผิดพลาดของกรรมการผู้ตัดสินได้อย่างชัดเจน
ข้อต่อมาคือ VAR ทำลายความสนุกหรือขัดจังหวะสำคัญของเกมสำหรับแฟนบอลและนักเตะหรือไม่ ซึ่งข้อนี้ยังคงเป็นคำถามที่หลายคนยังให้คำตอบไม่ตรงกัน
เนื่องจากในศึกฟุตบอลเอฟเอคัพระหว่างลิเวอร์พูลกับเวสบรอมฯ เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 ผู้ตัดสิน เคร็ก พาวสัน ได้กลับคำตัดสินประตูของ เคร็ก ดอว์สัน ที่จะส่งให้เวสบรอมฯ ขึ้นนำลิเวอร์พูลในครึ่งแรกไป 3-1 เนื่องจาก อังเดร มาริเนอร์ เจ้าหน้าที่ของพรีเมียร์ลีกในออฟฟิศ VAR ที่กรุงลอนดอน มองว่า แกเร็ธ แบร์รี อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ซึ่งสร้างความสับสนอย่างมากสำหรับทุกฝ่ายในสนามว่าจะดำเนินการกันอย่างไร
รวมถึงการที่ เคร็ก พาวสัน วิ่งไปดูจอของระบบ VAR ที่ข้างสนาม จากจังหวะที่ เจค ลิเวอร์มอร์ เข้าสกัดบอลของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และใช้เวลานานเกือบ 4 นาที กว่าจะตัดสินใจเป่าให้เป็นประตู ซึ่งฝ่ายที่มองว่า VAR จะทำลายเสน่ห์ของฟุตบอลมักจะหยิบยกตัวอย่างนี้มาเป็นสาเหตุที่ยังไม่ปักใจสนับสนุนระบบนี้แบบ 100%
แต่เมื่อเวลาทดสอบระบบผ่านไป เราก็ได้พบว่า ทีมงาน กรรมการ และแฟนบอล มีความคุ้นเคยมากขึ้นกับระบบ จนระยะเวลาการใช้งานระบบ VAR ในศึกฟุตบอลโลกหญิงปี 2019 มีเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 58 วินาที จากการเรียกใช้ VAR รีวิวเหตุการณ์ทั้งหมด 33 ครั้ง
สถิติต่างๆ จากฟุตบอลโลกหญิงปี 2019 ได้ชี้ชัดแล้วว่า VAR สามารถเป็นระบบที่ใช้งานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินของกรรมการภายในสนามได้
ส่วนปัญหาเรื่องการรบกวนจังหวะสำคัญของฟุตบอลนั้น เมื่อเวลาผ่านไป เราเห็นได้ว่าทีมงาน VAR และกรรมการผู้ตัดสินสามารถใช้งานระบบ VAR ได้ด้วยเวลาที่น้อยลง ทำให้เชื่อได้ว่า VAR ในฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีกที่มีโอกาสได้ทดสอบและเรียนรู้จากระบบของลีกอื่นๆ ที่เริ่มต้นไปก่อน น่าจะพบเจอกับปัญหาน้อยกว่า
กฎกติกาใหม่ของ FIFA
ฤดูกาล 2019/20 FIFA ได้ประกาศใช้กฎใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยกฎกติกามีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการแข่งขันอย่างน้อย 9 ข้อ
ข้อที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ การห้ามไม่ให้ผู้เล่นฝ่ายรุกหรือฝ่ายที่ได้ฟรีคิกเข้าไปขัดขวางในกำแพงขณะที่มีการเล่นลูกตั้งเตะ โดยเฉพาะตอนที่มีการตั้งกำแพงไม่ต่ำกว่า 3 คน ซึ่งนักเตะฝ่ายรุกต้องอยู่ห่างจากกำแพงอย่างน้อย 1 เมตร
โดยการเปลี่ยนแปลงกฎนี้เป็นการป้องกันการถ่วงเวลาและรบกวนกำแพง ที่บางครั้งนำไปสู่การมีปากเสียงกันระหว่างนักเตะทั้ง 2 ทีม
ข้อต่อมาคือ การเปลี่ยนตัวนักกีฬา นักกีฬาที่อยู่ในสนามที่ถูกเปลี่ยนออก จะต้องเดินออกจากจุดไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเดินมาที่เขตเทคนิค และต้องเดินไปยังม้านั่งสำรองหรือห้องแต่งตัวในทันที ไม่เช่นนั้นจะสามารถถูกตัดสินว่าไม่มีน้ำใจนักกีฬาได้ เพื่อเป็นการป้องกันการถ่วงเวลาอีกเช่นกัน
กฎใหม่นี้ยังส่งผลกระทบต่อทีมงานในม้านั่งสำรองและโซนเทคนิค เมื่อผู้ตัดสินสามารถคาดโทษมอบใบเหลือง ใบแดง ให้กับผู้ฝึกสอนหรือผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ที่ม้านั่งสำรองได้ตามปกติ เหมือนกับผู้เล่นที่อยู่ในสนาม และจะมีการติดโทษแบนเสมือนผู้เล่น
ส่วนผู้รักษาประตูนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับกฎใหม่นี้ตรงที่การยิงจุดโทษ ขาของผู้รักษาประตูจะต้องยืนอยู่บนเส้นอย่างน้อย 1 ขาเสมอ
สำหรับนักเตะเองจะได้รับผลกระทบจากกฎแฮนด์บอลรูปแบบใหม่ โดยกฎใหม่นี้ เมื่อลูกบอลสัมผัสถูกมือหรือบริเวณแขนของผู้เล่นฝ่ายที่กำลังรุกอยู่ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จะถือเป็นแฮนด์บอลทุกกรณี แต่กรณีนี้เชื่อว่า จะยังคงเกิดข้อถกเถียงขึ้นในแต่ละสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ในกฎใหม่ของ FIFA จะไม่มีการดรอปบอลอีกต่อไปในสถานการณ์ที่ต้องเริ่มต้นเกมใหม่ จากที่ก่อนหน้านี้กรรมการจะดรอปบอลให้ 2 ฝ่าย แย่งกันหรือตัดสินใจเตะบอลให้อีกฝั่งแบบสมัครใจ ในกฎใหม่นี้ฝ่ายที่ครองบอลอยู่ก่อนเกมหยุดจะได้เป็นฝ่ายได้เริ่มเล่นต่อ หลังจากกรรมการเป่าให้เริ่มต้นใหม่
น้องใหม่พรีเมียร์ลีก
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่นี้ ทีมที่ขึ้นชั้นมาต่างก็เป็นทีมที่เคยมีโอกาสโลดแล่นในลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษมาแล้ว แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยว่าพวกเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากลีกที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในโลกฟุตบอลได้ หรือจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นม้ามืด ทำผลงานได้เหนือความคาดหมายหรือไม่
นอริช ซิตี้
ทีมที่ขึ้นชั้นมาจากการคว้าแชมป์ลีกรองของอังกฤษ เป็นการขึ้นชั้นมาครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยมี เตมู ปุ๊กกี้ ที่ทำผลงานเป็นดาวยิงสูงสุดของลีกที่กดไป 29 ประตูในฤดูกาลที่แล้ว เป็นขุมกำลังสำคัญในการช่วยให้พวกเขาลุ้นอยู่ต่อในลีกสูงสุดของอังกฤษต่อไป
แอสตัน วิลลา
นับเป็นทีมที่มีศักยภาพสูงสุดจาก 3 ทีม แม้จะขึ้นชั้นมาด้วยการเพลย์ออฟ เอาชนะทีมดาร์บีฯ ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือที่ย้ายมาคุมเชลซีในฤดูกาลนี้ไป 2-1 เป็นทีมที่มีความลงตัวของผู้เล่นทั้งในเกมรุกจาก แจ็ค กรีลิช กองกลางผู้บัญชาการเกมรุกของทีม ที่โดดเด่นจนเป็นที่ต้องการของทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีกหลายทีม
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
ทีมที่ขึ้นชั้นมาแบบอัตโนมัติในอันดับที่ 2 ของลีกแชมเปี้ยนชิป สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเชฟฟิลด์ฯ คือเป็นทีมที่ใช้งบประมาณเสริมทัพน้อยที่สุดจาก 3 ทีมที่ขึ้นชั้นมา โดยจากรายงานของสโมสรเชฟฟิลด์ฯ พวกเขาใช้เงินเสริมทัพไปทั้งหมด 8.6 ล้านปอนด์ แต่ก็สามารถพาทีมขึ้นชั้นมาได้สำเร็จในอันดับที่ 2 ขณะที่แอสตัน วิลลาใช้เงินไป 99.6 ล้านปอนด์ ส่วนนอริช ซิตี้ แชมป์ลีกรอง ใช้เงินไป 40.7 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักเตะใหม่ของพรีเมียร์ลีก
นิโคลัส เปเป้ คือนักเตะที่สร้างสถิติค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรอาร์เซนอล และเป็นนักเตะที่มีราคาแพงที่สุดในตลาดซื้อขายนักเตะของพรีเมียร์ลีกในครั้งนี้
ดาวเตะทีมชาติไอวอรี โคสต์วัย 24 ปี ที่สามารถลงเล่นได้ทั้งตำแหน่งศูนย์หน้าและปีกขวา โดยมีจุดเด่นที่การเลี้ยงตัดเข้าในและยิงด้วยเท้าซ้าย ซึ่งด้วยความเร็ว ผลงานรองดาวยิงสูงสุดของลีกเอิง เชื่อว่า เปเป้จะเป็นผู้ที่สร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับชาวเดอะกันเนอร์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
คริสเตียน พูลิซิช เป็นนักเตะคนเดียวที่ย้ายมาร่วมทีมเชลซีในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งนี้ ก่อนที่เชลซีจะถูกจะยูฟ่าระงับการซื้อขายนักเตะทั้งหมด 2 ตลาดซื้อขายนักเตะในระยะเวลา 1 ปี เนื่องจากกระทำผิดกฎของฟีฟ่า
ตัวรุกดาวรุ่งวัย 20 ปี สัญชาติอเมริกันเจ้าของฉายา นิวมาร์โก รอยส์ จะเข้าทำหน้าที่แทน เอเดน อาซาร์ ที่ย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริดในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งจากสถิติในวัยเพียง 20 ปีที่ลงสนามให้กับดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลิกา เยอรมนีไปแล้วทั้งหมด 76 นัด และยิงไปแล้ว 10 ประตู ทำให้พูลิซิชน่าจะเป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของฤดูกาลนี้ได้
โรดรี้ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า 2 สมัยล่าสุด คว้าตัวมาร่วมทีมในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งนี้ ซึ่งจากสถานการณ์ในฤดูกาลที่แล้วที่เกือบทำให้แชมป์ลีกหลุดมือไปจากทีมเรือใบสีฟ้าคือ การที่ทีมสูญเสีย เฟอร์นานดินโญ กลางรับชาวบราซิล ให้กับอาการบาดเจ็บ ดังนั้น โรดรี้ จึงนับเป็นอะไหล่ชิ้นสำคัญของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในฤดูกาลที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
แชมป์ใหม่ในรอบ 3 ปี?
“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะกลับมา อาร์เซนอล, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, เชลซี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น… แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าตัวแม็กไกวร์ไปได้ เราจะมีผู้ท้าชิงแชมป์หลายทีมในครั้งนี้”
เป็นบทสัมภาษณ์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ที่ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ลุ้นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ หลังเอาชนะการดวลจุดโทษกับลิเวอร์พูลไป 5-4 และคว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ชิลด์ไปครอง
ถึงจุดนี้ แฟนบอลหลายคนอาจมองว่า เป๊ปโยนแรงกดดันให้กับทีมต่างๆ ที่เขาระบุชื่อมา เนื่องจากทุกทีมที่เป๊ปกล่าวถึง ได้มีการเสริมทัพกันอย่างดุเดือด ไล่ตั้งแต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ปรับทีมด้วยการดึงทั้ง อารอน วาน บิสซากา และ แฮร์รี แม็กไกวร์ เข้ามาขันน็อตเกมรับ และดึงเอา แดเนียล เจมส์ เข้ามาสร้างความตื่นเต้นในเกมรุกริมเส้น ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นเสริมทัพในจุดที่ทีมต้องการแก้ไขมาเป็นเวลานาน
ขณะที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ก็ทำสถิติใหม่ของสโมสร ด้วยการคว้าตัว ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล กองกลางจากโอลิมปิก ลียงมาครอง ด้วยค่าตัว 53.7 ล้านปอนด์ สร้างสถิตินักเตะมูลค่าสูงสุดที่สโมสรคว้าตัวมา และยังเป็นการปาดหน้า เป๊ป กวาร์ดิโอลา จนทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ต้องไปคว้าตัว โรดรี้ จากแอตเลติโก มาดริดมาแทน
เช่นเดียวกับอาร์เซนอลที่เสริมทัพในเกมริมเส้นด้วยการดึงตัว นิโคลัส เปเป้ แต่ในด้านของเกมรับที่ยังคงใช้งานชุดเดิม ก็สร้างความกังวลใจให้กับแฟนบอลได้ไม่น้อย
จะมีเพียงแค่แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูล ที่เสริมทัพกันชนิดที่ทำให้แฟนบอลของทั้ง 2 สโมสรบางคนตั้งคำถามว่า หากไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่ ทีมจะสามารถรักษามาตรฐานในการแข่งขันระดับที่สูงขึ้นทุกปีได้มากแค่ไหน
แต่เชื่อมั่นได้ว่า ด้วยศักยภาพของทีมแชมป์และรองแชมป์ที่มีอยู่ในเวลานี้ บวกกับสิ่งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้ว จะยังทำให้พวกเขาเป็นทีมเต็งที่จะกลับมารักษาตำแหน่งท็อป 2 หลังจบฤดูกาล
แต่สำหรับฟุตบอลที่กำลังเริ่มต้นขึ้นใหม่ เหมือนกับการแข่งขันทุกอย่างที่สามารถยึดโยงกับประโยคเดิมได้ตลอดว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
นั่นคือสิ่งที่เรารู้ตอนนี้ แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ แชมป์ในฤดูกาลหน้าจะเป็นใคร ทางเดียวที่เราจะรู้ได้คือ หลังจากการแข่งขันในสนามผ่านพ้นไปทั้งหมด 34,200 นาที จาก 380 นัด ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในเวลา 02.00 น. เช้ามืดของวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคมนี้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- img.fifa.com/image/upload/zeghumlzve8t7pppcw8m.pdf
- www.mirror.co.uk/sport/football/news/var-branded-farce-after-liverpool-11927064
- www.goal.com/en-us/news/football-rule-changes-what-are-the-new-additions-to-2019-20/1nt8llqwfqkje1qe1qbwdct06a
- www.sheffieldunited.news/analysis/stat-arguably-makes-sheffield-united-promotion-more-impressive-than-aston-villa-and-norwich
- www.bbc.com/sport/football/49141690