“มันเต็มไปด้วยดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยแต่ง ซิงเกิลแรกเสร็จไปแล้ว และฉันสัญญากับคุณได้เลยว่านี่จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงานของฉัน” เลดี้ กาก้า ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian เมื่อเดือนมิถุนายน 2011 หลังจากใช้เวลาร่วม 4 เดือนในการสร้างสรรค์สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 ของเธอ ซึ่งหนึ่งในโปรดิวเซอร์อย่าง RedOne เรียกมันว่าอัลบั้มแห่งอิสรภาพ ก่อนจะวางแผงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2011 ภายใต้ชื่อ Born This Way
Born This Way เป็นความร่วมมือระหว่างเลดี้ กาก้า และโปรดิวเซอร์เกือบสิบชีวิต รวมทั้งคนคุ้นเคยอย่าง RedOne และเฟอร์นันโด การิเบย์ ที่เคยร่วมงานกับกาก้ามาแล้วในอัลบั้ม The Fame Monster โดยภาพรวมอัลบั้มยังมีกลิ่นอายของซินธ์ป๊อปและแดนซ์ป๊อปที่แฟนๆ คุ้นเคย แต่ก็มีการเพิ่มแนวเพลงใหม่ๆ เข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นโอเปรา เฮฟวีเมทัล ดิสโก้ เฮาส์ และร็อกแอนด์โรล ซึ่งบทเพลงในอัลบั้มนี้อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาว่าด้วยการเสริมพลังใจให้กลุ่มคนต่างๆ ในสังคม มีการพูดถึงเรื่องเพศวิถี ศาสนา อิสรภาพ สตรีนิยม และความเป็นปัจเจก อันเรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดไปอีกขั้นในงานเพลงของกาก้า
อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมายอย่าง Born This Way ซึ่งถือเป็นอีกซิงเกิลที่สร้างปรากฏการณ์ปลุกพลังให้กับ LGBT ไปทั่วโลก และไต่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 สำเร็จ นอกจากนี้ยังมีซิงเกิลอย่าง Judas, The Edge of Glory และ You and I ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ต Billboard Hot 100 เช่นเดียวกัน รวมทั้งเพลง Hair และ Marry the Night ซึ่งไต่ชาร์ตได้สูงสุดที่อันดับ 12
Born This Way เปิดตัวด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านก๊อบปี้ภายในเวลา 1 สัปดาห์ ทำให้กาก้ากลายเป็นศิลปินหญิงคนที่ 5 ที่สร้างสถิตินี้ ไม่เพียงเท่านั้น อัลบั้มยังเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักวิจารณ์ซึ่งต่างชื่นชมเนื้อหา ความหลากหลายของแนวเพลง สไตล์ และพลังเสียงของกาก้า Born This Way ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 3 สาขา ได้แก่ Album of the Year, Best Pop Vocal Album และ Best Pop Solo Performance สำหรับเพลง You and I