กลุ่มพรรคการเมืองกลาง-ขวาและกลาง-ซ้ายสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภายุโรปในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสมาชิกพรรคแนวเสรีนิยม ชาตินิยม และพรรคกรีน ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่ในสภาเพิ่มขึ้น ส่วนขั้วการเมืองประชานิยมที่เคยผงาดขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จนเป็นภัยคุกคามต่อการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรป (EU) มีสัดส่วนค่อนข้างคงที่
สหภาพยุโรปทยอยประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (27 พ.ค.) ซึ่งปรากฏว่า กลุ่มพรรคการเมือง European People’s Party (EPP) แนวกลาง-ขวา กวาดที่นั่งในสภาได้มากที่สุดที่ 180 ที่นั่ง จากทั้งหมด 751 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วนราว 23.8% ตามมาด้วยกลุ่ม Progressive Alliance of Socialists and Democrats (S&D) แนวกลาง-ซ้ายที่ 152 ที่นั่ง คิดเป็น 20% ซึ่งแม้ขั้วการเมืองทั้งสองยังคงครองที่นั่งในสภาได้มากที่สุด แต่ก็มีสัดส่วนลดลงจากสมาชิกสภาชุดก่อน และรวมกันไม่ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา
ส่วนอันดับ 3 เป็นของกลุ่ม Alliance of Liberals and Democrats for Europe (ALDE) ซึ่งได้ทั้งหมด 105 ที่นั่ง คิดเป็น 14%
ที่น่าจับตาคือ สมาชิกพรรคแนวลิเบอรัลหรือเสรีนิยม และพรรคกรีน ซึ่งต่างคว้าที่นั่งในสภายุโรปได้เพิ่มขึ้น โดยสมาชิกกลุ่ม Greens / European Free Alliance คว้ามาได้ทั้งหมด 67 ที่นั่ง ขณะที่พรรคแนวชาตินิยมได้รับชัยชนะทั้งในอิตาลีและฝรั่งเศส ซึ่งถือว่าไม่ใช่ข่าวดีนักสำหรับ EU เพราะพรรค National Front ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขวาจัดของ มารีน เลอ เปน ยังต้องการนำฝรั่งเศสแยกตัวจากสหภาพยุโรปอยู่
ส่วนในสหราชอาณาจักร พรรค Brexit Party ซึ่งสนับสนุนการแยกตัวจากสหภาพยุโรปก็ได้รับชัยชนะเช่นกัน แม้เพิ่งก่อตั้งพรรคได้ไม่นาน
การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปจัดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาใน 28 ประเทศของสหภาพยุโรป โดยมีผู้ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียง 51% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 350 ล้านคน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่ามากที่สุดในรอบ 20 ปี
คาดว่ากลุ่ม EPP จะจับมือกับกลุ่ม S&D เพื่อสร้างแนวร่วมในรัฐสภา หรือที่เรียกว่า Grand Coalition เพื่อผลักดันกฎหมายและนโยบายสนับสนุนการรวมกลุ่มของ EU ต่อไป ขณะที่กลุ่ม Greens และขั้วลิเบอรัล เตรียมผลักดันให้มีการปฏิรูปโครงสร้างภายใน EU เพราะพวกเขาเชื่อว่า สหภาพยุโรปจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
