284 วันที่แล้ว ท่ามกลางผู้สื่อข่าวที่เข้าร่วมงานมากมายในห้องแถลงข่าวที่สนามซานติอาโก เบอร์นาบิว แต่บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและโศกเศร้า
ไม่มีใครคิดมาก่อนว่า ซีเนดีน ซีดาน ชายผู้เป็นตำนาน ทั้งในฐานะนักฟุตบอลเอกของโลก และในฐานะยอดโค้ชผู้สร้างประวัติศาสตร์นำเรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันเป็นคนแรก จะตัดสินใจยุติบทบาทของตัวเองเอาไว้แค่ตรงนี้
วันนั้น ‘ซิซู’ บอกกับทุกคนถึงเหตุผลในการจากลาว่า เป็นเพราะเขารู้สึกว่าสโมสรแห่งนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งถ้าตัวเขาเองยังไม่รู้สึกเช่นนั้น เขาคิดว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำเป็นต้องไป
อย่างไรก็ดี ซีดานย้ำกับทุกคนว่า เขารักสโมสรแห่งนี้ที่สุดในชีวิต รวมถึงรัก ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรผู้มอบโอกาสสำคัญของชีวิตให้เขาเสมอ
“บางทีเราอาจจะได้กลับมาพบกันใหม่”
ไม่มีใครคิดครับว่า ในอีก 284 วันให้หลัง เราจะได้เห็นภาพของซีดานและภรรยา เวโรนิก รวมถึงบุคคลสำคัญระดับสูงของเรอัล มาดริด และเพื่อนเก่าอย่างราอูล และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส มาร่วมงานแถลงข่าวการแต่งตั้งเขากลับมาคุมทีมอย่างเป็นทางการอีกครั้งแบบนี้
ทั้งๆ ที่ตลอดช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เราไม่เคยได้ยินแม้สักครั้งว่า เขาอยากจะกลับมา หรือแม้แต่เรอัล มาดริดเองก็ไม่เคยปรากฏข่าวว่า ต้องการได้เขากลับมาคุมทีมอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ผ่านมา? และเหตุผลที่แท้จริงของทั้งเรอัล มาดริด, เปเรซ และซีดาน คืออะไร?
บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เขียนถึงเรื่องวิกฤตของทีมเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษของพวกเขา หลังทีมหมดหวังในทุกรายการ ตั้งแต่การตกรอบโคปา เดล เรย์ ด้วยน้ำมือบาร์เซโลนา และอีกครั้งที่พ่ายต่อคู่แค้นตลอดกาลใน ‘เอล กลาสิโก’ ก่อนที่จะถึงจุดต่ำสุดด้วยการโดนอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง บุกมาถล่มพวกเขาแบบหมดรูปถึงเบอร์นาบิว
สถานการณ์หลังจากนั้นก็ใช่ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ ความสับสนอลหม่านในทีมยังไม่จบลง ยังมีระเบิดเวลาที่ทำงานต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ของผู้เล่นระดับแกนนำในทีมอย่าง เซร์คิโอ รามอส และ มาร์เซโล สองกัปตันของสโมสร ที่ถูกจับได้ว่ามีปากเสียงกันในระหว่างการซ้อม ไม่รวมคนที่ไม่มีความสุขเลยอย่าง แกเร็ธ เบล และขบถลูกหนัง อิสโก อลาร์กอน
เรียกได้ว่ามีเรื่องมีราวที่ประธานสโมสรอย่างเปเรซ จำเป็นต้องลงมาจัดการมากมาย ไม่นับงานใหญ่ที่สุดอย่างการชุบชีวิต ‘กาลาคติกอส’ หน่วยรบอัศวินดวงดาวของเขา ที่มีความยากมากกว่าในอดีตหลายเท่า จากปัจจัยในเกมลูกหนังที่เปลี่ยนแปลงไป
สิ่งที่เปเรซต้องการมากที่สุดคือ ‘คน’ ที่จะช่วยนำทีมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ซึ่งต้องเป็นโค้ชในระดับท็อปของวงการเท่านั้น
อย่างที่เราทราบครับว่า ตลอดมาคนที่ถูกคาดหมายมาตลอดว่าจะได้โอกาส ได้ก้าวมาเป็นนายใหญ่ในเบอร์นาบิวคือ ยอดโค้ชรุ่นใหม่อย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน ผู้จัดการทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ถูกมองว่า เส้นทางในลอนดอนนั้นตีบตันแล้ว และถึงเวลาจะรับงานในสโมสรระดับสูงสุดเสียที
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวที่น่าประหลาดใจว่า เปเรซอยากได้โค้ชคนเก่าอย่าง โฆเซ มูรินโญ กลับมากอบกู้ทีมอีกครั้ง โดยที่กระแสข่าวนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นด้วยครับ เพราะมีการพูดถึงอย่างจริงจัง บุคคลสำคัญของเรอัล มาดริดอย่าง ฮอร์เก วัลดาโน อดีตประธานสโมสรยังมีการพูดถึงเรื่องนี้
ตัวของ The Special One เองก็มีการส่งสัญญาณให้รู้ว่า หากจะได้กลับไป ตัวเขาเองก็ยินดีจะรับโอกาสนี้ไว้
อย่างไรก็ดี คนที่เปเรซคิดถึงคนแรกไม่ใช่ทั้งสองคนนี้ครับ
ซีดานคือคนแรกที่เปเรซคิดถึงเสมอ ด้วยความที่เป็นคนสนิทรู้ใจมานาน และความสำเร็จในช่วงระยะเวลา 2 ฤดูกาลครึ่ง ที่เขารับหน้าที่ในเบอร์นาบิวก็ถือว่า ‘รู้มือ’ กันว่า กุนซือชาวฝรั่งเศสมีความสามารถครบทุกด้านที่จะนำพาเรอัล มาดริดให้ไปสู่วันเวลาที่ยิ่งใหญ่ได้
ปัญหาคือ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซีดานไม่พร้อมจะกลับมาด้วยเหตุผลในเรื่องของการทำงาน
เหตุผลของซีดานคือ เขาต้องการ ‘อำนาจเต็ม’ ในการบริหารจัดการทีม ไม่ใช่เฉพาะเพียงเรื่องของการนำลูกทีมลงสนามหรือลงฝึกซ้อม หากแต่ต้องการอำนาจในการตัดสินใจบริหารทีมด้วย ทั้งในเรื่องของการตัดสินใจเลือกว่าจะซื้อผู้เล่นคนใด หรือจะปล่อยผู้เล่นคนไหนออกจากทีม
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เปเรซลังเลที่จะมอบอำนาจให้แก่เขามาโดยตลอด และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ซีดานตัดสินใจที่จะหยุดงานของตัวเองหลังจบฤดูกาลที่แล้ว เพราะเขาประเมินสถานการณ์แล้วรู้ดีว่า เรอัล มาดริดจำเป็นที่จะต้องมีการยกเครื่องขนานใหญ่ หากต้องการจะแข่งขันในระดับสูงสุด
เมื่อไม่มี ‘อาญาสิทธิ์’ ให้ เขาก็ไม่พร้อมที่จะทำงาน เพราะหมายถึงการทำงานนั้นจะเต็มไปด้วยข้อจำกัดที่มากและยากเกินไป
การปฏิเสธของซีดาน ทำให้เปเรซต้องมองหาทางเลือกใหม่ และทำให้ปรากฏชื่อของมูรินโญ โค้ชที่เขาชื่นชอบและไว้วางใจเสมอในการทำงาน
ความจริงแล้วกุนซือชาวโปรตุเกสก็ใกล้เคียงอย่างมากที่จะกลับมารับงานอีกครั้งแล้วครับ โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีกระแสข่าวจากทั้งในสเปนและในอังกฤษเองที่ระบุตรงกันว่า มูรินโญกำลังจะกลับมารับงานในทีมเรอัล มาดริดต่อจาก ซานติอาโก โซลารี กุนซือชั่วคราวที่จะถูกปลดจากตำแหน่ง สังเวยความล้มเหลวในสนาม และการไร้ความสามารถในการจัดการปัญหานอกสนาม
แต่จุดพลิกผันอยู่ที่นักฟุตบอลในทีมเรอัล มาดริดเองจำนวนมาก โดยเฉพาะนักเตะระดับอาวุโสภายในทีม อย่างรามอส, มาร์เซโล ไม่ต้องการที่จะให้มูรินโญกลับมา
ขณะที่เปเรซเองก็มีความลังเลใจไม่ยอม ‘กดปุ่ม’ เพื่อให้มูรินโญ กลับมาจริงๆ ด้วยเช่นกัน เพราะกังวลในเรื่องของสถานการณ์ภายในทีมที่เวลานี้ไม่ต่างอะไรจากสงครามกลางเมือง
ด้วยเหตุนี้ทำให้ประธานสโมสรตัดสินใจที่จะลองต่อสายหาซีดานอีกครั้ง เพื่อเสนองานในตำแหน่งเดิมให้
แต่ข้อเสนอครั้งใหม่มีสิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ ซีดานจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตัวเขาเอง ทั้งในเรื่องของงบประมาณในการจัดหาผู้เล่นในระดับซูเปอร์สตาร์เข้ามาเสริมทีม และในเรื่องของอำนาจการตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จ
ข้อเสนอนี้ชนะใจซีดาน เพราะในเรื่องความรักและความผูกพันที่มีต่อ โลส บลังโกส นั้นไม่มีอะไรที่ต้องสงสัยอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ผ่านมาคือ ความรู้สึกไม่มั่นใจบางอย่าง และการที่ประธานสโมสรอย่างเปเรซ คุกเข่าอ้อนวอนเพื่อขอให้เขากลับมา โดยพร้อมจะทำทุกอย่าง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปฏิเสธ
ระยะเวลา 284 วันที่ผ่านมา เรอัล มาดริดมีความเปลี่ยนแปลงจริงอย่างที่เขาบอก แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ในทางที่ดีนัก แต่ก็ถือว่าความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว และสำหรับซีดาน เขาพอมองเห็นแล้วว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องทำต่อไปในอนาคต
ภารกิจนั้นยิ่งใหญ่กว่าเดิมมากครับ มีสิ่งที่เขาต้องจัดการมากมาย โดยเฉพาะการคืนชีวิตให้ทีม ด้วยขุนพลระดับกาลาคติกอสยุคใหม่
ผู้เล่นเก่าบางคนอย่าง แกเร็ธ เบล, อิสโก หรือมาร์เซโล น่าจะต้องจากไป
ผู้เล่นใหม่หลายคนจะถูกเติมเข้ามาในงบประมาณ 300 ล้านปอนด์ โดยชื่อที่ผมได้ยินมาก่อนแล้วคือ เอเดน อาซาร์ นอกจากนี้ยังมี แฮร์รี เคน, คริสเตียน เอริคเซน ที่สื่อสเปนคาดการณ์เอาไว้
และน่าจะมีมากกว่านี้ รวมถึง คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่อิทธิพลความเป็นตำนานชาวฝรั่งเศสของซีดาน อาจมีส่วนในการเปลี่ยนใจสตาร์ดาวรุ่งที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะไม่ย้ายจากปารีส แซงต์ แชร์กแมงไปไหน
สำหรับเรอัล มาดริด พวกเขาถือว่าโชคดีที่ได้โค้ชที่เป็น ‘คนใน’ ซึ่งเข้าใจวัฒนธรรมของสโมสรเป็นอย่างดี และเคยพาทีมประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว
สำหรับเปเรซ เขาได้คนรู้ใจที่ไว้วางใจได้มากที่สุดคนหนึ่งกลับมา และอาจจะดีกว่าการเหนื่อยไปตามง้อคนนอกอย่างมูรินโญ หรือโปเชตติโน ที่ต้องปรับจูนการทำงานกันอีกมาก ซึ่งเวลาอาจเหลือไม่มากพอที่จะทำเช่นนั้น
ขณะที่ซีดาน เขาได้กลับมาอีกครั้งอย่างผู้ชนะ และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย โดยได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับสโมสรที่รัก การได้รับอำนาจและความไว้วางใจสูงสุด และการสนับสนุนอย่างเต็มที่แบบที่ไม่เคยได้มาก่อน
มันยังทำให้เขาได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนเป็นจริงด้วย
เป็น ‘ซีดานเทิร์น’ ที่งดงามไม่ต่างจากครั้งที่วาดลวดลายในสนามเลยจริงๆ
ภาพ: AFP
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- ครั้งแรกที่ซีดานได้รับตำแหน่งในช่วงต้นปี 2016 เขาถูกมองว่า เป็นตัวเลือกที่สุ่มเสี่ยง แม้กระทั่งเปเรซเองยังไม่มั่นใจในฝีมือการทำทีมนัก เพราะเขาไม่เคยคุมสโมสรในระดับสูงสุดมาก่อน แต่ซีดานก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาทำให้เรอัล มาดริดเป็นเรอัล มาดริดได้
- ในช่วงเวลาที่คุมทีมอยู่ ซีดานพาทีมคว้าแชมป์มากมาย ทั้งยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยซ้อน (2016-2018), แชมป์สโมสรโลก 2 สมัย (2016, 2017), แชมป์ลาลีกา 1 สมัย (2017), สแปนิช ซูเปอร์คัพ (2017), ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (2016, 2017)
- หลังจากอำลาสโมสรไป ซีดานตกเป็นข่าวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและยูเวนตุส แต่ไม่ได้เร่งรีบในการตัดสินใจแต่อย่างใด โดยยังใช้ชีวิตในมาดริด อยู่ใกล้กับสนามเบอร์นาบิวเหมือนเดิม
- ซานติอาโก โซลารี ที่กลายเป็นอดีตโค้ช ได้รับโอกาสให้อยู่กับสโมสรต่อไป โดยช่วยดูทีมระดับเยาวชนเหมือนเดิม เป็นหูเป็นตาให้ซีดาน ว่านักเตะดาวรุ่งคนใดน่าสนับสนุน แต่จะไม่กลับไปคุมทีมกาสตินญา หรือเรอัล มาดริด ชุดบี ในเวลานี้