เจ้าชายผู้ไม่มีชื่อเล่น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เวลา ๑๗.๔๕ น.
บรรยากาศในพระราชวังวันนั้นเป็นอย่างไร คงยากที่ประชาชนจะรู้ ถ้าศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พระอาจารย์ถวายการสอนภาษาไทยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้บรรยายถึงนาทีอันเป็นมงคลฤกษ์ว่า
‘…วันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า ฝนไม่ได้ตกมานาน นายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา ๑๗ นาฬิกา กับ ๔๕ นาที ในนาทีเดียวกันนั้นเอง ฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยปรายละอองลงมา ดูคล้ายๆ ฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้…
‘…นายแพทย์ ที่ถวายการประสูติ …กล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า ผู้ชาย แทนที่จะว่า พระราชโอรส ฝนโปรยอยู่ตลอดเวลา แตรสังข์ดุริยางค์เริ่มประโคม ทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีปืนใหญ่ทั้งบกและเรือยิงสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังอยู่สนั่นหวั่นไหว
‘สมใจประชาชนแล้ว… ดวงใจทุกดวงมีความสุข…’
ในหนังสือ สี่เจ้าฟ้า ฉบับเรียบเรียงใหม่โดย ลาวัณย์ โชตามระ เล่าว่า สยามมกุฎราชกุมาร เป็นทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าเพียงพระองค์เดียวที่ไม่มี ‘ชื่อเล่น’ เหมือนสมเด็จพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐาอีก ๓ พระองค์ อาจเพราะเป็น ‘ทูลกระหม่อมชาย’ เพียงพระองค์เดียว
คำว่า ‘ชาย’ จึงเป็นเสมือนชื่อที่ใช้แทนพระองค์
ดวงชะตาที่เป็นความลับ และพระนามที่มาจากรัชกาลที่ ๔ และ ๕
หลังเจ้าชายประสูติได้ ๔ วัน (๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตถเลขาถวายไปยังสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เพื่อขอให้ทรงขนานพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติใหม่
ทูล สมเด็จพระสังฆราช
ในฐานที่ทรงเป็นบูรพาจารย์ที่เคารพยิ่ง หม่อมฉันจึ่งใคร่ขอประทานพระกรุณาให้ทรงจัดผูกดวงชาตาลูกชายของหม่อมฉัน ซึ่งเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ศกนี้ เวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที กับขอประทานหารือในอันจะขนานนามเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ลูกนั้นด้วย
หม่อมฉันได้ให้กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ มาเฝ้าเพื่อกราบทูลข้อความละเอียด หากมีพระประสงค์จะทรงทราบ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ภูมิพลอดุลยเดช ปร.
จากนั้นหนึ่งเดือนต่อมา สมเด็จพระสังฆราชฯ ได้มีจดหมายตอบกลับ มีเนื้อความบางส่วนว่า
…อาตมภาพได้รับทราบพระราชประสงค์แล้ว
ดวงพระชาตานั้น ได้หารือตกลงกัน และอาตมภาพได้เขียนถวาย ส่วนพระนาม อาตมภาพได้คิดและเขียนถวายตามพระราชประสงค์ แลได้ถวายพร้อมกับหนังสือนี้แล้ว…
ดวงพระชะตาที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ได้เขียนถวายนั้นเป็นเช่นไรยังคงเป็นความลับ มีเพียงพระนามที่ตั้งถวายตามดวงพระชะตาเท่านั้นที่เปิดเผย
‘สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร’
ซึ่งเป็นพระมงคลนามตามพระราชตระกูล โดยอัญเชิญพระนามฉายาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปรากฏในขณะทรงพระผนวชว่า ‘วชิรญาณะ’ ผนวกกับ ‘อลงกรณ์’ จากพระนาม จุฬาลงกรณ์ ของรัชกาลที่ ๕ มีความหมายว่า ‘ทรงเครื่องเพชรนิลจินดา’ หรืออาจแปลว่า ‘อสุนีบาต’ (ฟ้าผ่า)
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงทรงขอให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ‘ตั้งพระนาม’ ให้กับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติใหม่
หนังสือ ‘พระโอวาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์’ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสพระราชทานเพลิง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พ.ศ. ๒๕๐๓) มีความตอนหนึ่งระบุไว้ว่า
‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙ ในขณะนั้น–ผู้เขียน) เมื่อเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติก็ได้ทรงมีวิสสาสะ และรักใคร่นับถือในพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าอย่างยิ่ง จนถึงทรงพระราชดำริจะทรงผนวชให้ทันพระชนมายุกาลของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และทรงเจาะลงจะประทับอยู่ในสำนักของท่านนั้น’
หนังสือเล่มเดียวกันนี้มีความตอนหนึ่งกล่าวถึง ‘บุคลิกและนิสัย’ อันเป็นเสน่ห์ของสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในเหตุให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ใช้คำว่า ในฐานที่ทรงเป็นบูรพาจารย์ที่เคารพยิ่ง ในพระราชหัตถเลขา เมื่อครั้งขอให้ทรงขนานพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติใหม่
‘สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงมีพระนิสสัยโอบอ้อมอารีเห็นใจมนุษย์ไม่เลือกชั้นวรรณ มีพระกมลสันดานกอปรด้วยมานุษยธรรมอย่างกว้างขวาง แม้จะไม่เป็นผู้ที่ช่างทักทายปราศัยทั่วๆ ไป พระองค์ก็ทรงแผ่พระเมตตาการุญภาพ จนมหาชนที่ได้รู้จักพระองค์ท่านต่างพากันนิยมนับถือพระองค์ท่านอย่างสูงสุด…’
เจ้าชายผู้ชื่นชอบเครื่องบินและรถถัง
พอพระชนมายุ ๔ พรรษา เจ้าชายน้อยได้ทรงเข้าศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ โรงเรียนจิตรลดา ชั้นอนุบาล และทรงศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนจะเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
หนังสือ สี่เจ้าฟ้า ฉบับเรียบเรียงใหม่โดย ลาวัณย์ โชตามระ ได้เล่าถึงเจ้าชายในช่วงวัยเยาว์ที่ศึกษาอยู่ในเมืองไทยว่า พระองค์เสด็จไปโรงเรียนตรงเวลาเสมอ เพราะจะตื่นบรรทมแต่เช้า ประมาณ ๗ นาฬิกา เช้าวันใดไม่ต้องทำการบ้าน เพราะทำเสร็จแล้วตั้งแต่ตอนเย็น ก็จะทรงมีเวลาเล่นได้นาน อาจจะทรงจักรยานรอบสระกลมใหญ่ หรือบางครั้งก็เสด็จไปแวะเยี่ยมกรมราชองครักษ์ และกองทหารรักษาการณ์ เพื่อทรงตรวจเรื่องการกินอยู่ แล้วก็เลยทรงเล่นหมากฮอสด้วย
จนเวลาประมาณ ๘ นาฬิกา จึงเสด็จขึ้นเพื่อสรงน้ำ เสวย และเตรียมพระองค์เสด็จไปโรงเรียนจิตรลดา ที่เริ่มเรียนตั้งแต่ ๙ นาฬิกา หยุดพักกลางวัน และเริ่มเรียนในภาคบ่ายอีกครั้งจนถึงเวลา ๑๕.๕๕ นาฬิกา
จากบันทึกในหนังสือระบุว่า ทูลกระหม่อมฟ้าชายมักจะทำวิชาคำนวณได้ดีกว่าวิชาอื่น ซึ่งมักได้คะแนนเต็มเสมอ ด้านภาษาดีพอสมควร และวิชาที่โปรดมากอีกอย่างคือวาดเขียนและปั้นรูป
เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้นก็ยิ่งมีพระอุปนิสัยสมกับเป็นผู้ชาย โปรดเล่นเครื่องยนต์กลไกต่างๆ อย่างเด็กผู้ชายทั้งหลาย เช่น รถยนต์ เครื่องบิน รถถัง เรือ และโปรดทอดพระเนตรหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับการช่าง การก่อสร้าง และมีพระนิสัยใฝ่รู้ เมื่อทรงสงสัยสิ่งใดก็จะทรงตั้งปัญหาถาม
ด้วยความชื่นชอบเครื่องบินและรถถังในวัยเยาว์ จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อเติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่ม ทูลกระหม่อมฟ้าชายจะทรงเลือกศึกษาต่อด้านการทหาร
นักการทหารผู้ตั้งปณิธานเพื่อชาติและประชาชน
ทูลกระหม่อมฟ้าชายทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลา ๔ ปีจนถึงชั้นระดับมัธยมศึกษา ก่อนจะบินไปเข้ารับการศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์สคูล เขตพารามัตตา นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย จนถึงพ.ศ. ๒๕๑๔ แล้วเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยการทหารชั้นสูงที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน ที่หลักสูตรแบ่งออกเป็น ๒ ภาค ได้แก่ ภาควิชาการทหาร และการศึกษาวิชาสามัญ ระดับปริญญาตรี
ซึ่งระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ทูลกระหม่อมฟ้าชายเจริญพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ให้ดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตามโบราณขัตติยราชประเพณี
หลังจบการศึกษาใน พ.ศ. ๒๕๑๙ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ๒ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๑
ดูเหมือนเจ้าชายจะโปรดด้านการทหารเป็นพิเศษ หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระองค์ทรงศึกษาต่อเพิ่มเติมในหลักสูตรด้านการบินหลายหลักสูตร ตั้งแต่การฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ทั่วไป แบบที่ติดอาวุธโจมตี และเครื่องบินปีกติดลำตัว เป็นต้น
แม้บทบาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในช่วงนั้นจะเด่นชัดด้านการทหารที่พระองค์ทรงให้ความสนพระทัย แต่อีกด้านหนึ่งพระองค์ก็ทรงยึดแนวทางการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงงานเพื่อประชาชน
ดังเช่นที่พระองค์มีพระราชดำรัสให้คำมั่นไว้ในงานสโมสรสันนิบาต ซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร’ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ณ ทำเนียบรัฐบาลว่า
“ข้าพเจ้าทราบตระหนักว่า ข้าพเจ้ามีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อประเทศชาติอย่างสูง และการปฏิบัติราชการแผ่นดินนั้น เป็นภาระสำคัญใหญ่ยิ่ง ที่ต้องอาศัยทั้งสติปัญญาและความรู้ความสามารถอย่างพร้อมมูล
“ข้าพเจ้าจะต้องเพียรพยายาม ศึกษาและปฏิบัติฝึกฝนตนเองต่อไปอีก อย่างมาก เพื่อให้สามารถเหมาะสม กับหน้าที่ ตามที่ทุกคนมุ่งหวัง…
“ในโอกาสอันพิเศษนี้ จึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายได้เป็นกำลังใจสนับสนุนข้าพเจ้า และได้ตั้งความปรารถนาร่วมกันกับข้าพเจ้าที่จะมุ่งมั่นประกอบกรณียกิจ ด้วยความสามัคคีพร้อมเพรียง และด้วยความสุจริตยุติธรรม เพื่อยังความเจริญมั่นคงและความร่มเย็นเป็นผาสุกให้บังเกิดแก่ชาติ ประเทศ และประชาชนยั่งยืน สืบไป…”
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนพูดเก่งนัก
“ให้เขาคุยกับท่านทั้งหลายบ้างนะคะ”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสกับชาวไทยที่มาเข้าเฝ้าฯ ณ โรงแรมวิลลาร์ด (Willard) ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ในหลวงทรงฝากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ตามเสด็จดูแลพระองค์ ก่อนจะลุกสลับที่ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มานั่งฝั่งที่มีไมโครโฟนเพื่อตรัสกับประชาชนที่มาเข้าเฝ้า
เสียงปรบมือจากประชาชนที่เข้าเฝ้าดังกึกก้องต้อนรับ หลังนั่งลงและจัดแจงพระวรกายเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ตรัสประโยคแรกว่า
“ก่อนอื่นก็ขอออกตัวว่า เป็นคนที่คุยไม่ค่อยจะเก่ง”
หลังจากนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสที่มีเนื้อความโดยสรุปว่า รู้สึกปลื้มปีติและยินดีอย่างมากที่ได้ใกล้ชิดคนไทยในที่นี้
เมื่อมีพระราชดำรัสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะทรงลุกให้พระบรมราชินีนาถตรัสต่อ พระองค์ได้ตรัสประโยคสุดท้ายว่า
“ข้าพเจ้าไม่ใช่คนพูดเก่งนัก แต่ขอขอบใจที่ทุกคนมีไมตรีจิตในครั้งนี้ ขอบคุณ”
นี่คือภาพเหตุการณ์สั้นๆ ที่เกิดขึ้นในคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ แม้จะเป็นช่วงเวลาแค่ ๓.๔๒ นาที แต่ก็เป็น ๓ นาทีสั้นๆ ที่สะท้อนให้เห็นอีกมุมหนึ่งของเจ้าชายที่คนไทยหลายคนอาจไม่เคยเห็น โดยเฉพาะท่าทีที่แสดงออกถึงความถ่อมตนและไมตรีจิตอันหาที่สุดมิได้
“เราเองก็ไม่มีอะไรพิเศษ” ความในใจจากว่าที่กษัตริย์ ผู้ปฏิญาณตนเพื่อชาติจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เคยพระราชทานสัมภาษณ์ในสารคดี Soul of a Nation – the Royal Family of Thailand ที่ออกอากาศเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งปัจจุบันมีเผยแพร่ในเฟซบุ๊กบีบีซีไทย ตอนหนึ่งว่า
“ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีแรงกดดันอย่างไรบ้างครับ” เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีถาม
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารทรงนิ่งคิดชั่วครู่แล้วตรัสตอบว่า
“ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมาในวินาทีแรกของชีวิต เราก็อยู่ในฐานะเจ้าชายแล้ว
“มันไม่ง่ายเลยที่จะบอกว่า การเป็นปลาตัวหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร ในขณะที่คุณเป็นปลาอยู่แล้ว หรือการเป็นนกตัวหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อคุณเป็นนกอยู่แล้ว ถ้าคุณลองถามมัน คุณรู้ไหม มันไม่ง่ายเลย พวกมันก็ไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่ใช่ปลาหรือนกนั้นเป็นอย่างไร
“เราเชื่อว่าในชีวิตของทุกๆ คน ย่อมมีแรงกดดัน ความเครียด และปัญหา และนี่ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องเผชิญ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ หลายสิ่งหลายอย่าง
“เราเองก็ไม่มีอะไรพิเศษ”
พระดำรัสในประโยคสุดท้ายชวนให้คิดถึงพระราชภาระและหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงปฏิญาณเมื่อครั้งทำพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ที่มีขึ้นหลังพระราชพิธีเฉลิมพระนามาภิไธยจาก ‘สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ’ ให้ดำรงพระอิสริยยศ ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร’ ว่า
“…ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอิสริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานไว้เสมอด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่างโดยเต็มกำลัง สติปัญญา ความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตและร่างกายจะหาไม่”
เดินตามรอยเท้า ‘พ่อ’
ในหนังสือ ‘ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ (His Majesty’s Photographic Portfolio) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ ในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
ที่หน้า ๓๒ มีรูป ‘เจ้าชายผู้ไม่มีชื่อเล่น’ กำลังยืนมองหนทางเบื้องหน้าซึ่งเป็นผืนดินชุ่มแฉะในป่าด้วยท่าทางมุ่งมั่น
อาจารย์พูน เกษจำรัส ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ศิลปะภาพถ่าย) พ.ศ. ๒๕๓๑ ผู้มีโอกาสได้ตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปตามสถานที่ต่างๆ ได้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังภาพนี้ไว้ว่า
“…คราวหนึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ตามเสด็จสมเด็จพระชนกนาถ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารด้วย วันนั้นฝนตกพรำทำให้นำ้ป่าบ่าไหล หนทางเปียกแฉะ เป็นเหตุให้ทรงพระดำเนินด้วยความลำบาก ตลอดทางจึงทรงลื่นล้มไปหลายครั้ง แต่ด้วยพระราชอุตสาหะวิริยะ จึงมิทรงย่อท้อแต่ประการใด…
“ทั้งนี้เป็นผลของพระเมตตาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกชนนี ผู้ทรงอบรมสั่งสอนพระราชโอรสและพระราชธิดาให้มีพระอุปนิสัยหนักแน่น อดทนต่อความทุกข์ยากและอุปสรรคทั้งมวล เพื่อจะได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของปวงพสกนิกร
“เป็นการเจริญรอยตามพระยุคลบาทสืบไปทุกๆ ประการ”
ยามที่ทินกรลับเหลี่ยมเมฆา โลกทั้งใบอาจอยู่ในความมืดมิด แต่ใดใดในโลกล้วนวนเวียนเป็นวัฏจักร และไม่มีราตรีกาลใดดำรงอยู่นานตราบจนสิ้นอวสาน
เช่นเดียวกับการสิ้นสุดรัชสมัยที่ไม่ได้มาพร้อมกับความจบสิ้น แต่คือการเริ่มต้นอีกรัชสมัย
ตอนนี้ทินกรและแสงทองของเช้าวันใหม่กลับคืนผืนฟ้าเมืองไทยแล้ว
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
อ้างอิง:
- หนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๒
- จดหมายเหตุตามรอยทรงพระผนวช พ.ศ. ๒๕๕๔
- หนังสือ ‘พระโอวาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์’ ในโอกาสพระราชทานเพลิง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พ.ศ. ๒๕๐๓
- goo.gl/ENlHHA
- goo.gl/i1Jr8k
- goo.gl/Fvd6aT
- www.coj.go.th/day/pbr/pbr.html
- www.matichon.co.th/news/321473
- www.posttoday.com/social/royal/461031
- www.facebook.com/BBCThai/?fref=ts&ref=br_tf
- www.siamrath.co.th/n/363
- goo.gl/Xs8ODb