หลังสะสมประสบการณ์ด้านการแสดงมาเป็นระยะเวลา 20 ปี ก็ถึงเวลาแล้วที่ พอล ดาโน จะเดบิวต์ผลงานตัวเองในฐานะผู้กำกับ กับภาพยนตร์ดราม่าที่ดัดแปลงจากนิยายของเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ ริชาร์ด ฟอร์ด
Wildlife เล่าเรื่องสมาชิกในครอบครัวบรินสัน ที่เพิ่งย้ายมาตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เมืองมอนทานา สหรัฐอเมริกา มีหัวหน้าครอบครัวอย่าง เจอร์รี (รับบทโดย เจค จิลเลนฮาล) ทำงานเป็นพนักงานในสนามกอล์ฟเพื่อเลี้ยงดูทุกคน โดยมีภรรยาอย่าง เจนเนต (รับบทโดย แครี มัลลิแกน) สนับสนุนอยู่ไม่ห่าง พร้อมกับโจ (รับบทโดย เอ็ด อ็อกเซนโบลด์) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว
แต่ชีวิตในเมืองใหม่ที่เหมือนจะดีก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อเจอร์รีถูกไล่ออกจากงาน ประกอบกับภาวะวิกฤตวัยกลางคน ที่ทำให้เขากลับมาตั้งคำถามกับชีวิต และรู้สึกว่าตัวเองอยากมีคุณค่ามากกว่าการเช็ดรองเท้าให้ลูกค้าในสนามกอล์ฟเหมือนก่อน เขาหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นาน จนเจนเนตและโจต้องไปรับทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เสริมมาทดแทน
และคำตอบที่เขาได้รับก็ทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะเขาตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อไปเป็น ‘นักดับไฟป่า’ ที่ได้ค่าตอบแทนเพียงชั่วโมงละ 1 เหรียญสหรัฐ แถมกว่าจะได้กลับมาเจอหน้าทุกคนอีกครั้งก็ต้องรอให้หิมะตกลงมาเสียก่อน นี่คือคอนฟลิกซ์ใหญ่ที่ทำให้ชีวิตครอบครัวได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
พอล ดาโน ทั้งเขียนบทและกำกับผลงานได้ค่อนข้างดี หนังสร้างเหตุผลรองรับการตัดสินใจของตัวละคร ทำให้เราไม่รู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ผิดหรือถูก แต่ทุกการตัดสินใจคือ ‘ความจริง’ ที่ใครไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นไม่มีวันเข้าใจ
แน่นอนว่าการตัดสินใจของเจอร์รีนั้นควรถูกตั้งคำถาม ครอบครัวยังไม่มั่นคง อายุก็มากแล้ว ยังจะวิ่งไปตามหาคุณค่าของชีวิต แต่ความผิดหวังจากการย้ายที่อยู่เพื่อหาโอกาสที่ (คิดว่า) ดีกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า การยอมทำงานต่ำต้อยเพื่อแลกเงิน การเป็นสามีที่ไม่อาจพาภรรยาไปดินเนอร์มื้อหรู การเป็นพ่อที่ไม่มีอะไรให้ลูกได้มากกว่าการเปิดวิทยุการแข่งขันฟุตบอลให้ฟัง บางทีการต่อสู้กับความรู้สึกตรงนี้อาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเขา จนรู้สึกว่าการออกไปต่อสู้กับไฟป่าที่บ้าคลั่งอาจจะดีมากกว่า
และเมื่อเสาหลักของบ้านตัดสินใจแบบนั้น ทุกคนในครอบครัวก็ได้รับผลกระทบกันไปหมด แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องแย่ทั้งหมดก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะการจากไปของเจอร์รี ได้มอบ ‘อิสระ’ ในการสำรวจความต้องการของตัวเองแบบที่เจนเนตไม่เคยได้รับมาก่อน เพราะเมื่อโจลืมตาขึ้นมาดูโลก ชีวิตของเธอที่ยังเป็นสาวสะพรั่งวัย 19 ปี ก็ไม่เคยมีอะไรอย่างอื่นอีกเลยนอกจากสามี ลูก และครอบครัว
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอหวั่นไหวให้กับ วอร์เรน มิลเลอร์ ที่อายุมากคราวพ่อได้อย่างง่าย เพราะช่วงเวลา 14 ปีแห่งความสดใสของหญิงสาวที่หายไป ได้ถูกเศรษฐีสูงวัยที่ทั้งมั่นคงและอ่อนโยนเติมเต็มให้เป็นครั้งแรกในชีวิต
หากดูจากหน้าหนัง อาจรู้สึกว่าบทของเจอร์รีและเจนเนตคือจุดแข็งของหนังเรื่องนี้ ซึ่งทั้ง เจค จิลเลนฮาล และ แครี มัลลิแกน ก็ทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติ แต่จริงๆ แล้วคนที่ ‘โอบอุ้ม’ ทั้ง 2 คนไว้คือ โจ ลูกชายที่เฝ้าสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวและเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เงียบๆ ไม่เคยเปิดเผยออกมา
ถ้านับจากความขัดแย้งของสองสามีภรรยาที่พูดมาทั้งหมด จะเห็นว่านี่คือวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครระเบิดอารมณ์เพื่อเร่งความดราม่าและบีบคั้นให้ได้สูงสุด แต่การมีอยู่ของโจเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับเอาเรื่องทุกอย่างมาเก็บไว้กับตัว และค่อยๆ คลายออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ ทำให้ตลอดทั้งเรื่องเราได้เห็นการ ‘ระเบิด’ แบบที่ว่าเพียง 1 ครั้งถ้วน และเป็นการระเบิดที่ทรงพลัง ครั้งเดียวอยู่ ไม่ต้องกลับมาพิรี้พิไรให้มากความ
การแสดงที่เป็นธรรมชาติ เล่นดีบ้าง ล้นบ้างของ เอ็ด อ็อกเซนโบลด์ เลยกลายเป็นหนึ่งในเสน่ห์สำคัญของหนังที่ทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วย และอยากเติบโตไปกับเขาได้ตลอดเวลา จนถึงฉากสุดท้าย ที่ก็เป็นเพราะความต้องการที่เรียบง่ายของตัวละครโจอีกเช่นกัน ที่สร้างฉากจบที่แสนอึดอัด กระอักกระอ่วน แต่สวยงามขึ้นมาได้
- Wildlife เข้าฉายเฉพาะที่โรงภาพยนตร์ House RCA