แม้จะเต็มไปด้วยชื่อเสียงและฝีมือการแสดง แต่มีนักแสดงฮอลลีวูดอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผู้คนทั้งโลกจะทั้งรักและผูกพันไปพร้อมๆ กับชื่นชมต่อพัฒนาการด้านงานแสดงที่มักจะเลือกรับงานที่ท้าทายตัวเองอยู่เสมอ และหนึ่งในนั้นเชื่อว่าในใจของใครหลายคนจะต้องมีชื่อของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ อยู่ในลิสต์แน่ๆ
วันนี้หลังจากเพิ่งฉลองวันเกิดวัย 44 ปีไปแบบหมาดๆ (เขาเกิดวันที่ 11 พฤศจิกายน 1974) THE STANDARD POP จะพาย้อนกลับไปดูหลายฉากชีวิตผ่านงานแสดงของเขา ที่เชื่อแน่ว่ามีมากกว่าหนึ่งเรื่องที่เคยทำให้เราต้องเลือกหยิบมาดูซ้ำ (และเผลอๆ ระหว่างย้อนชม คุณอาจจะรู้สึกผูกพันเหมือนว่าได้ ‘โตมาด้วยกัน’ อย่างไรอย่างนั้นเลย)
1991: Critters 3
หนังสยองขวัญที่เคยเข้าฉายในไทยด้วยชื่อ ‘กลิ้ง…งับ งับ 3’ คืองานภาพยนตร์เรื่องแรกของเจ้าหนุ่มน้อยลีโอนาร์โดในวัย 17 ปี
เรื่องราวดำเนินไปตามสูตรหนังภาคต่อ เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดได้อาละวาดและถูกกำจัดไปในภาคก่อน แต่เจ้าตัวแสบดันทิ้งไข่ไว้จนฟักออกมาเป็นตัวอีกครั้งในภาค 3 ความพีกคือไม่ได้ทิ้งไข่ไว้แค่ใบสองใบ แต่มันดันไข่ทิ้งไว้เป็นหลักร้อย! นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวเมืองโกลเวอร์สต้องร่วมมือกันกำจัดพวกมันให้หมดสิ้นอีกครั้ง และแม้จะไม่ใช่บทนำ แถมเป็นหนังสยองขวัญที่ใครอาจจะปรามาส แต่บทบาทในเรื่องบวกกับหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าหนุ่มลีโอนาร์โดก็ถือได้ว่าโดดเด่นและติดตา
1993: What’s Eating Gilbert Grape
บทบาทหนุ่มน้อยพิการทางปัญญาใน What’s Eating Gilbert Grape คือผลงานแสดงที่ทำให้ลีโอนาร์โดได้รับการจับตามองและแจ้งเกิดอย่างแท้จริง โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ พ่วงด้วยรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในวัยเพียง 19 ปี ฉะนั้นนอกจากจะเป็นหนังดราม่าโรแมนติกกรุ่นกลิ่น coming of age แต่ในฉากชีวิตจริงมันยังทำให้นักแสดงหนุ่มน้อยอย่างลีโอนาร์โดเติบโตในเส้นทางสายการแสดงด้วยเช่นกัน
1996: Romeo + Juliet
ในวัย 21 แตกเนื้อหนุ่มลั่นดังเปรี๊ยะ เรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักใน Romeo + Juliet ฉบับปี 1996 ฝีมือการกำกับของ บาซ เลอห์มานน์ ที่เต็มไปด้วยศาสตร์และศิลป์แห่งภาพยนตร์ หนังดัดแปลงจากบทประพันธ์ดั้งเดิมของ วิลเลียม เชกสเปียร์ ให้กลายเป็นงานที่ทั้งงดงาม เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของดนตรี แฟชั่น ศิลปะร่วมสมัย และหลอมรวมถึงความหลากหลายทางเพศไว้ได้อย่างแยบคายสวยงาม และนั่นส่งผลให้ลีโอนาร์โดคว้ารางวัลหมีทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Berlin International Film Festival มาครองได้อย่างสวยงาม
1997: Titanic
เรื่องราวโศกนาฏกรรมรักระหว่าง แจ็ค ดอว์สัน และโรส เดวิตต์ บูเคเตอร์ บนเรือยักษ์ไททานิค คือผลงานการกำกับสุดยิ่งใหญ่ของ เจมส์ คาเมรอน ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับโลกภาพยนตร์ไว้มากมาย โดยเฉพาะการครองสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดได้ยาวนานถึง 12 ปี ก่อนเจมส์ คาเมรอน จะถูกภาพยนตร์ Avatar ผลงานเรื่องใหม่ของตัวเองทำลายลงในปี 2010
ในปีนั้น Titanic กวาดรางวัลบนเวทีออสการ์ได้มากถึง 11 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่อย่าง Best Picture ส่วนลีโอนาร์โดและเคต วินสเลต ในฐานะนักแสดงนำ ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ประสบความสำเร็จกับออสการ์ แต่ในแง่มิตรภาพ หนังเรื่องนี้ได้ทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทร่วมวงการที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นจนถึงทุกวันนี้
2000: The Beach
ข่าวการเลือกใช้และทำลายสภาพชายหาดของ ‘เกาะมาหยา’ ที่เป็นหนึ่งในโลเคชันถ่ายทำหลักของภาพยนตร์ The Beach ผลงานการกำกับโดย แดนนี บอยล์ กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปทั่วประเทศ และนี่คือข่าวที่ทำให้คนไทยสนใจผลงานหนังเรื่องใหม่ของลีโอนาร์โดมากกว่าเนื้อหาของหนัง โดยเล่าเรื่องราวของ ริชาร์ด นักท่องเที่ยวหนุ่มชาวอเมริกันที่ตั้งใจเดินทางมายังประเทศไทยในสไตล์ ‘แบ็กแพ็กเกอร์’ ที่… ก็ดูได้ แต่หนังก็ไม่ได้สร้างความประทับใจสักเท่าไร
2002: Catch Me If You Can
หนังดังดูสนุกที่สร้างขึ้นจากหนังสืออัตชีวประวัติขายดี เล่าเรื่องราวของ แฟรงก์ ดับเบิลยู. อบาเนล 18 มงกุฎผู้เป็นจอมลวงโลกและนักปลอมแปลงเช็คระดับเทพ อีกทั้งยังเคยปลอมเป็นนายแพทย์ ทนายความ นักบิน และความสนุก ตื่นเต้น ขำขัน ผสมซีนดราม่าระหว่างการไล่ตามจับโดยยอดนักสืบจาก FBI นาม คาร์ล ฮันแร็ทตี้ (ทอม แฮงส์) นี่เองที่ทำให้ Catch Me If You Can กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ผู้คนชื่นชอบและจดจำบทบาทการแสดงของเขาได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง
2004: The Aviator
ย่างเข้าสู่วัย 30 เขากลับมาร่วมงานกับยอดผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี อีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันใน Gangs of New York (2002) หนังสร้างขึ้นจากเรื่องราวชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยมิติน่าสนใจของมหาเศรษฐีพันล้าน ฮาเวิร์ด ฮิวจ์ส ผู้ร่ำรวยจากธุรกิจน้ำมัน ขณะเดียวกันเขาก็เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ เจ้าของบ่อนคาสิโน เสือผู้หญิง และสำคัญที่สุด เขาคือผู้ที่หลงใหลการขับเครื่องบินเป็นชีวิตจิตใจ และงานแสดงใน The Aviator นี่เองที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายเป็นครั้งที่ 2 ก่อนที่สุดท้ายจะอกหักพลาดรางวัลสำคัญไปอีกครั้ง
2006: Blood Diamond
นับตั้งแต่เดินเข้าสู่หลัก 30 ผลงานการแสดงของลีโอนาร์โดล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยบทบาทที่น่าสนใจ แตกต่าง และท้าทายตัวเองอยู่เสมอ และยิ่งได้ชมผลงานของเขามากขึ้นเรื่อยๆ แฟนหนังจะยิ่งค้นพบว่าพระเอกหนุ่มน้อยหน้าหล่อใสที่สาวๆ ทั่วโลกเคยลุ่มหลงนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่แตกต่าง แต่ทว่าหนักแน่นในด้านคุณภาพ
เช่นเดียวกัน เรื่องราวของ Blood Diamond ที่ฉากแอ็กชันและดราม่าที่เกิดขึ้นในประเทศเซียร์ราลีโอน ทวีปแอฟริกา ดินแดนซึ่งประชากรมากมายล้มตายจากสงครามกลางเมือง และส่วนหนึ่งต้องถูกจับไปเป็นแรงงานทาสในเหมืองร่อนเพชร สิ่งสวยงามทรงคุณค่าสำหรับมนุษย์ ขณะเดียวกันก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตผู้คนมากมาย ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและการแสดงที่ยอดเยี่ยมส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์อีกครั้ง
2008: Revolutionary Road
เส้นทางสายการแสดงได้นำพาสองเพื่อนรัก ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และเคต วินสเลต ให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในหนังดราม่าโรแมนติกที่ฉากชีวิตและสัมพันธ์ฉันสามี-ภรรยาของแฟรงก์และเอพริล วิลเลอร์ โดยมีฉากหลังในยุค 1950 นั้นเหมือนจะงดงามสมบูรณ์พร้อมดังภาพฝัน แต่สิ่งที่ซ่อนไว้เบื้องหลังคือความรู้สึกแสนว่างเปล่า เปราะบาง และรอวันผุพังแตกสลาย…
2010: Inception
“ตกลงว่าเรากำลังตื่นและหลงอยู่ในความฝัน…” หนังแอ็กชัน-ไซไฟ ผลงานการเขียนบท อำนวยการสร้าง และกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งนอกจากจะเป็นงานภาพยนตร์ที่แฟนหนังทั่วโลกจะยกย่องในแง่ไอเดีย พล็อตเรื่อง และงานสร้าง แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับนักแสดงชื่อ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ บทบาท ดอม คอบบ์ นักจารกรรมความคิด จะเป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์และผลงานการแสดงที่แฟนหนังทั่วโลกจดจำและพูดถึงเขาไปอีกนานเท่านาน
2013: The Wolf of Wall Street
ตั้งแต่ต้นเรื่องกระทั่งถึงเอนด์เครดิต นี่คือผลงานการแสดงและกำกับที่เต็มไปด้วยความคึกคัก ทรงพลัง เขากลับมาร่วมงานกับมาร์ติน สกอร์เซซี อีกครั้งในบทบาท จอร์แดน เบลฟอร์ต ซึ่งดัดแปลงมาจากบันทึกส่วนตัวของอดีตโบรกเกอร์หนุ่มไฟแรงแห่งวอลล์สตรีท ที่เล่าถึงช่วงชีวิตสุดรุ่งโรจน์และตกต่ำสุดขีดอย่างมันหยด
ช่วงร่ำรวย เขาหาเงินได้อย่างมากมาย และเมื่อหามาได้ง่าย เขาใช้เงินจ่ายเพื่อหาความสุขไปแบบเต็มที่ เวอร์วังทั้งปาร์ตี้ เหล้ายา และผู้หญิง แต่แล้วโชคก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน ลงท้ายจากรุ่งสุดก็ถึงเวลาต้องตกต่ำที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนแบบสุดฤทธิ์ด้วยเช่นกัน หนังโดดเด่นทรงพลังจนทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำอีกครั้งเป็นหนที่ 4 ซึ่งเขาก็พลาดไปอีกครั้งอย่างที่แฟนหนังทั่วโลกร้องครางเสียดายแทน
2015: The Revenant
ใช้คำว่า ‘ทุ่มสุดตัว’ ก็คงไม่ผิด คือหลังจากพลาดหวังจากรางวัลออสการ์ไป 4 ครั้ง 4 หน แถมหนสุดท้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีก่อนจาก The Wolf of Wall Street ฉะนั้นการโคจรกลับมาท้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายอีกครั้งด้วยบทบาทที่โทรมสุดๆ จึงแทบจะเป็นโมเมนต์สำคัญที่แฟนหนังทั้งโลกพากันร่วมลุ้นให้คณะกรรมการมอบรางวัลนี้ให้กับเขาเสียที และในที่สุดเขาก็ทำมันได้สำเร็จ
วินาทีที่ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในวัย 41 ก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวสปีชสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เขากลับไม่ได้ขอบคุณใครเป็นพิเศษเหมือนเพื่อนร่วมวงการคนอื่นๆ แต่นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและสนใจในปัญหาโลกร้อนมาตลอดหลายปีได้เลือกที่จะพูดถึงภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบต่อผู้คนไปทั่วโลก
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นเรื่องจริง และมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ พวกเราต้องทำงานร่วมกัน เลิกผัดวันประกันพรุ่ง ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับรางวัลที่น่าอัศจรรย์ในค่ำคืนนี้ และขอให้พวกเราเลิกคิดเอาเองว่าโลกใบนี้จะคงอยู่ตลอดไป ผมเองก็จะไม่ทึกทักว่าค่ำคืนนี้จะคงอยู่ตลอดไปด้วยเช่นกัน”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์