หลังจากใช้เวลาสะสมพลังงานนานเกือบ 10 ปี ก่อนที่ 4 หนุ่ม Getsunova จะระเบิดออกมาเป็นอัลบั้ม The First Album จนมีเพลงฮิตมากมายทั้ง ไกลแค่ไหนคือใกล้, แตกต่างเหมือนกัน, อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้, คนไม่จำเป็น ฯลฯ
หลังจากปล่อยของไปชุดใหญ่ พวกเขาไม่คิดรอหาวัตถุดิบใหม่ๆ ให้เสียเวลา และตัดสินใจเริ่มต้นการ ‘ระเบิด’ ครั้งใหม่ในอัลบั้มที่ 2 ต่อทันที โดยได้ อ๊อฟ (พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีตาร์วง Big Ass) มาเป็นผู้ควบคุมการระเบิดให้ดังสนั่นยิ่งขึ้นไปอีก และได้ส่งเพลง ‘พัง..(ลำพัง)’ ที่เศร้าลึกตัดขั้วหัวใจเป็นการชิมลางบอกว่าการระเบิดครั้งนี้ Getsunova จะหม่น ดาร์กและหนักยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
หลังจากทำอัลบั้มแรกเสร็จ Getsunova ก็ลุยทำอัลบั้ม 2 ต่อทันที ตามปกติมันน่าจะต้องมีช่วงเวลาพัก เวลาทัวร์คอนเสิร์ต เวลาตามหาวัตถุดิบใหม่ๆ มากกว่านี้หรือเปล่า
นาฑี: อัลบั้มแรกเราใช้เวลา 10 ปี ก็กลัวว่าถ้าอัลบั้มนี้ยังหยุดพักอีก 2 ปีค่อยทำ เดี๋ยวจะกลายเป็น 4 ปี 5 ปี เลยคิดกันว่าลุยต่อไปเลยดีกว่า อัลบั้มนี้อยากให้เร็วขึ้นมากๆ ถ้าเป็นไปได้กลางๆ ปีหน้าก็อยากจะให้มีอัลบั้มที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาให้ฟังกัน
นต: ผมว่าพวกเราทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กันได้ อย่างทัวร์คอนเสิร์ตเราก็ทำกันอยู่ตลอดตามปกติ เวลาพักมันก็ผสมอยู่ในช่วงเวลานั้นแล้ว เลยไม่ได้คิดว่าพวกเราลำบาก เหน็ดเหนื่อยอะไร ความรู้สึกอยากเล่นดนตรี อยากทำเพลงมันมีมากกว่า
ส่วนเรื่องวัตถุดิบทำงานเพลง พวกเราก็ตามหากันระหว่างทางในทุกๆ วันนี้ล่ะครับ พวกเราเพิ่งออกมาแค่อัลบั้มเดียว มันยังมีเพลงอีกหลายเพลงที่เราอยากเล่น ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราอยากนำเสนอ และยังมีดนตรีอีกหลายแบบที่เราอยากลองทำ เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยๆ เก็บสะสมความอยากทำของเราไปเรื่อยๆ ดีกว่าที่จะต้องหยุดเพื่อไปค้นหามันโดยเฉพาะ
ไปร์ท: หลังจากพี่พล (คชภัค ผลธนโชติ อดีตมือกีตาร์วง Clash) โปรดิวเซอร์อัลบั้มที่แล้ว เขาไปทำที่ Boxx Music สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องหาโปรดิวเซอร์คนใหม่ ซึ่งโชคดีที่พวกเรามีโอกาสทัวร์คอนเสิร์ตกับพี่ๆ วง Big Ass หลายครั้ง ได้คุยกับพี่อ๊อฟ ได้เห็นนิสัยใจคอ รู้สึกถึงความเป็นพี่ชายที่ดูแลให้คำปรึกษาพวกเราได้ แล้วเราก็ติดตามผลงานของพี่เขามาเรื่อยๆ ทุกคนก็คิดตรงกันว่าพี่อ๊อฟนี่แหละเหมาะสมที่สุด ซึ่งพี่อ๊อฟก็ยินดีที่จะมาโปรดิวซ์ให้เรา เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มลุยทำอัลบั้มกันได้ทันที
การได้ทำความรู้จัก กับการร่วมทำงานกับอ๊อฟ Big Ass ให้ประสบการณ์ใหม่อะไรกับพวกคุณบ้างไหม
นต: สนุกดีนะครับ ตอนแรกเหมือนเราเป็นนักเรียนมัธยม เพราะจะมีคนคอยเป็นห่วง คอยจี้ตลอดว่าทำการบ้านไปถึงไหนแล้ว ใกล้ถึงกำหนดแล้วนะ แต่พี่อ๊อฟจะเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัย คือให้โจทย์มาแล้วพวกเราต้องไปสร้างอะไรมาให้เสร็จเรียบร้อย โดยไม่มาตามจี้พวกเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่พยายามด้วยตัวเองมันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย วงต้องคอยพุชตัวเองอยู่ตลอด พี่อ๊อฟก็มีคิวงานของเขาที่แน่นมาก กว่าจะได้เจอกันทั้งทีวันนั้นก็ต้องพร้อมที่สุด ตั้งใจที่สุด ไม่ใช่ว่ามาเจอแล้วยังมาถามว่า ตรงนี้ทำยังไงดีครับพี่ แต่คราวนี้คือ พี่ครับผมทำมา 4 แบบ พี่ว่าแบบไหนดีครับอย่างนี้เลย
ไปร์ท: ถ้าพี่พลมาเห็นพวกเราตอนนี้ก็คงจะโกรธพวกเราอยู่นะ ทำไมตอนทำงานกับกู พวกมึงไม่เห็นเตรียมตัวกันมาแบบนี้บ้างเลย (หัวเราะ) เพราะอยู่กับพี่พลเราจะรู้สึกสบายๆ เดี๋ยวไปบ้านพี่เขา พี่เขาพร้อมจะช่วยเราทุกอย่าง ทั้งช่วยหาซาวด์ที่เหมาะสมให้ มีเครื่องมือโน่นนี่มาช่วยเติม เราเลยจะติดความสบายแบบนั้นประมาณหนึ่ง แต่คราวนี้ต้องทำเองหมดเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ทุกคนในวงเติบโตขึ้นเยอะเหมือนกัน
เนม: ของผมจะเป็นความรู้สึกประหม่าเวลาที่รู้ว่าระดับพี่อ๊อฟมาคุมร้อง จนครั้งแรกพี่อ๊อฟต้องบอกว่าสบายๆ ก่อน ยังไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ (หัวเราะ) ส่วนที่ยากที่สุดคือการร้องท่อนประสานที่ผมต้องประสานเองทุกเสียง พี่อ๊อฟเขาจะมีเตรียมโน้ตประสานที่ผมไม่เคยร้องมาก่อนให้ แล้วก็ต้องทำให้ได้ทั้งหมด อัดเพลงกับพี่อ๊อฟนานที่สุดแล้วตั้งแต่เคยอัดเพลงมา อย่างเพลง พัง..(ลำพัง) 2 วันรวมกันแล้วประมาณ 8 ชั่วโมงเลยนะ
ไปร์ท: พี่อ๊อฟเป็นสายทดลองให้ได้ซาวด์ที่แปลกใหม่ออกมา เขาเสนอให้เพลงอัลบั้มนี้ไปมิกซ์เสียงที่ต่างประเทศ ตอนแรกเขาอยากได้คนจากฝรั่งอเมริกา แต่พวกเรารู้สึกว่าจริงๆ เพลงของ Getsunova มันเป็นแนวอังกฤษมาตั้งแต่แรก ซึ่งพี่อ๊อฟก็ยอมทำตามพวกเรา ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ประทับใจมาก เพราะความจริงคนรุ่นใหญ่ขนาดนั้นจะสั่งให้เราทำอะไรก็ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อในสิ่งที่พวกเรายืนยัน
นต: หลังจากนั้นพวกเราเลยส่งโปรไฟล์ของวงไปให้ เซนโซ่ ทาวน์เซนด์ (Cenzo Townshend) คนที่มิกซ์เสียงให้ U2, Snow Patrol, Bloc Party อัลบั้มที่พวกเราชอบฟังมาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อติดต่อให้เขามิกซ์เพลงให้ เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ส่งเพลงไปมิกซ์เสียงกับมืออาชีพจากต่างประเทศจริงๆ
อย่างเนื้อเพลงก็เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะนะ จากที่เคยตั้งชื่อยาวๆ ปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ แต่เพลงแรก พัง..(ลำพัง) ก็ใช้คำสั้นๆ แค่ 3 พยางค์ ตรงนี้เป็นความตั้งใจเปลี่ยนแปลงของวงด้วยหรือเปล่า
นต: มีส่วนครับ รู้สึกว่าไม่ได้อยากให้ประโยคมันขัดแย้งขนาดนั้นแล้ว แต่มันจะมีลูกเล่นการทดคำซ้ำแบบเพลง ‘อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้’ แต่คราวนี้ใช้คำว่า ‘พัง’ กับ ‘ลำพัง’ มาวางใกล้ๆ กัน
แต่ที่เปลี่ยนแปลงที่สุดคือ ผมอยากให้เนื้อเพลงหม่นและดาร์กขึ้น ความรักใสๆ จะน้อยลง อย่างเนื้อเพลงพัง ผมก็คิดว่าเข้มข้นที่สุดแล้วในแง่ความเศร้าตั้งแต่เคยแต่งเนื้อเพลงมา
เพลงซีเรียสที่สุดของอัลบั้มที่แล้วอาจจะเป็น คนไม่จำเป็น นั่นก็คือผู้ชายขี้เหงา ขี้น้อยใจ ไม่มีอะไรมาก แต่เพลงพังมันต้องดีลไปถึงเรื่องชีวิตของคนคนนั้น เริ่มจากชีวิตคู่ที่จะไปต่อไม่ได้ แล้วมันกำลังทำให้ชีวิตของคนนั้นพังไปเลย ไม่ใช่คนงอนกันธรรมดาอีกแล้ว
พาร์ตดนตรีในอัลบั้มที่ 2 ของ Getsunova ล่ะครับ จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง
นต: ที่ชัดๆ คือดนตรีจะหนักขึ้น เข้มข้นขึ้น จากเดิมที่คนจะคุ้นว่า Getsunova เป็นป๊อปร็อก คราวนี้พวกเราก็จะร็อกขึ้น แต่แน่นอนว่าจะไม่เกินตัว ส่วนพาร์ตดนตรีเนี้ยบๆ ก็จะมีอยู่ ถ้าเห็นจากเพลง พัง..(ลำพัง) ช่วงเวิร์สตอนแรกก็จะเนี้ยบๆ เบาๆ แต่พอเข้าท่อนฮุกหรือโซโล่ก็จะค่อยๆ หนักขึ้นมา แล้วอัลบั้มแรกที่พวกเราจะหนักใช้พวกเสียงซินธ์ฯ มาสร้างแอมเบียนต์ค่อนข้างเยอะ คราวนี้ก็ยังมีอยู่แต่เราจะพยายามใช้เสียงกีตาร์ หรือเครื่องดนตรีที่อยู่จริงๆ สร้างขึ้นมามากขึ้น ถ้าเทียบกับอัลบั้มที่แล้วก็จะเห็นว่ามันมีความดิบ มีความก้าวร้าวแอบซ่อนอยู่
นาฑี: ตอนทำอัลบั้ม The Lion ของวง Big Ass ที่พี่อ๊อฟเขากลับมาใช้ซาวด์แบบออริจินัล ใช้คอมพิวเตอร์มาอีดิตให้น้อยที่สุด ซึ่งในอัลบั้มของพวกเราพี่เขาก็ยังเอาพาร์ตเสียงออริจินัลอีนิตน้อยๆ ที่เขากำลังอินมาใช้กับพวกเราเหมือนกัน ซึ่งก็ตรงกับความต้องการให้ดนตรีมันมีความดิบ ความเป็นธรรมชาติของพวกเรามากขึ้นพอดี
ไปร์ท: ช่วงหลังๆ ถ้าคนที่ได้ไปฟังพวกเราเล่นคอนเสิร์ตก็จะเห็นว่ามันมีหลายๆ เพลงนะที่เราเอาท่อนโน้นท่อนนี้มาเปลี่ยนดนตรีใหม่ให้หนักขึ้น สนุกขึ้น พอมาคิดๆ ดู ความจริงไอ้ความสนุก ความหนักตรงนี้มันอาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่แล้วก็ได้ ซึ่งมันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัลบั้มนี้ เพราะท้ายสุดเราก็ต้องการเพลงที่เล่นแล้วคนเอ็นจอย สนุก กระโดดได้ ไม่ใช่มีแต่เพลงช้าอย่างเดียว เน้นดนตรี กีตาร์ กลองให้เข้าถึงแก่นของดนตรีมากขึ้น
ช่วงหลังๆ Getsunova มีทัวร์คอนเสิร์ตเยอะมาก ถามจริงๆ ว่าเบื่อกันบ้างหรือยังที่ต้องขึ้นไปเล่นเพลงเดิมๆ ซ้ำๆ ทุกวันแบบนี้
เนม: ความรู้สึกของผมเหมือนเดิมเลยนะ ผมมีนิสัยไม่ค่อยดีอย่างหนึ่งคือพลังของผมจะแปรผันตามพลังของคนดู ถ้าคอนเสิร์ตไหนที่คนดูไม่ค่อยเอาพวกเรา ผมก็จะไม่ค่อยมีพลังที่จะเล่นเท่าไหร่ แต่ถ้าคอนเสิร์ตไหนคนดูเต็มที่กับพวกเรามากๆ ผมก็จะเต็มที่สนุกกับคอนเสิร์ตนั้นแบบสุดๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาถึงท่อน ‘แต่อยู่ตรงนี้นานกว่านี้จะได้ไหม’ ที่คนในร้านจะชูมือยกแก้วเหล้าขึ้นมาร้องกันลั่นมาก ถึงผมจะร้องเพลงนี้ไปกี่ร้อยครั้ง แต่ถ้าคนดูยังอิน ยังร้องตามกันอยู่ ผมก็ยังอินและสนุกกับการร้องเพลงซ้ำๆ ได้เหมือนเดิม
นต: ผมว่าเรื่องนี้วงเราเป็นกันทุกคนนะ แต่อาจจะไม่แสดงออกเท่าพี่เนม (หัวเราะ) ผมเข้าใจนะ แล้วคิดว่ามันบังคับกันไม่ได้ จริงๆ เราก็อยากเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่ออกไปโชว์แบบเต็มร้อยทุกครั้งโดยที่ไม่ต้องสนใจอะไร แต่อีกมุมหนึ่ง การที่พวกเราเป็นแบบนี้ มันเลยทำให้เราต้องลุ้นตลอดเวลาว่าเวทีไหนจะเป็นยังไง ถ้าไม่สนุกก็จะเฉยๆ แต่ถ้าสนุกมันจะตื่นเต้น เฮ้ย ต้องเต็มที่นะเว้ย กราฟขึ้นลงตรงนี้ก็มีความสำคัญกับนักดนตรีเหมือนกัน ถ้าทุกเวทีเหมือนกันหมดเราก็จะสนุกกับมันเท่าเดิม เพราะผมคิดว่าเรากำลังออกไปทำงานศิลปะ ศิลปะมันควบคุมอะไรไม่ได้อยู่แล้วทั้งจิตใจของทั้งคนรับและคนส่งด้วย
ช่วงเวลาไหนหรือเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้วง Getsunova รู้สึกแบบเพลง ‘พัง..(ลำพัง)’ ได้มากที่สุด
นต: ภาพที่ตัวเองตื่นนอนขึ้นมาบนเตียง แต่มันไม่มีอะไรทำให้เรารู้สึกอยากลุกขึ้นไปทำ มันจะมาหลังจากที่เราเพิ่งตั้งใจทำอะไรบางอย่างไปมากๆ แล้วมันไม่เวิร์ก มันไม่เหลืออะไรแล้ว สมมติตั้งใจทำเพลงไปมากๆ แต่ไม่ผ่าน พอตื่นมามันจะรู้สึกว่าต่อให้ลุกจากเตียงนี้ไปมันก็ค่าเท่าเดิม ลุกไปทำเพลงมันก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นนอนต่อไปเถอะ แล้วก็จะนอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่สักพักพอเรามีเรื่องอื่นให้ทำ ให้คิดถึง เดี๋ยวความอยากทำอย่างอื่นก็จะฉุดให้เราลุกขึ้นไปได้เอง
นาฑี: ส่วนผมเป็นช่วงสมัยเรียน ตอนเดินเข้าห้องสอบ นั่งลง เปิดข้อสอบอ่านแล้วทุกอย่างที่เราพยายามท่องมาทั้งหมดมันไม่มีอะไรลอยขึ้นมาในหัวเลยแม้แต่อย่างเดียว น่าจะเป็นโมเมนต์ที่พังที่สุดในชีวิตแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก เห็นอย่างนี้ผมเป็นคนตั้งใจอ่านหนังสือสอบมากนะครับ เพราะผมเรียนไม่เก่งก็เลยต้องอ่านเยอะกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อ่านข้อสอบหน้าที่หนึ่ง ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับมาทำ เปิดไปหน้าสอง โอเค เดี๋ยวค่อยกลับมา จนหน้าสุดท้าย ก็ยังไม่มีอะไรที่ทำได้อีก โอเค ยอมแพ้ เขียนมั่วเลยแล้วกัน (หัวเราะ)
ไปร์ท: ผมไม่ค่อยมีความรู้สึกพัง แต่ถ้า ลำพังเฉยๆ จะเป็นบ่อยเวลาตีกลองอยู่บนเวที แล้วเพื่อนคนอื่นเขาเดินไปเล่นตรงนู้นตรงนี้กันหมด แล้วเหลือผมอยู่คนเดียวที่ไปไหนไม่ได้ (หัวเราะ) แต่มันไม่ได้รู้สึกแย่นะ มันแค่อยากลงไปสนุกกับเพื่อนๆ สนุกกับคนดูบ้าง แต่เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็สนุกของเราไปเองแล้วกัน
เนม: ผมจะรู้สึกถึงโมเมนต์นี้เวลาเราอยู่กับคนที่เรารัก เรารักคนคนนี้อยู่ก็จริง แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว แล้วการที่ยังมีเขาอยู่แบบนี้มันเหงายิ่งกว่าการที่เราไม่มีใครด้วยซ้ำ มันทรมานมากเลยนะ แล้วมันไม่มีใครจริงๆ ที่จะช่วยเราในเรื่องนี้ได้ เราก็ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาก็ช่วยเราไม่ได้ โคตรเหงาเลย ผมรู้สึกอย่างนี้อยู่นานมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกแล้ว เพราะสุดท้ายมันจะไปถึงจุดที่เราเข้าใจแล้วว่ามันไม่มีทางที่จะดีกว่านี้ได้ ยอมรับว่าชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปแล้ว ผมถอยไปจนไม่มีพื้นที่จะถอย ถ้าถอยอีกก็คือตกเหวแล้วนะ ถ้าไม่อยู่ก็ต้องตายแค่นั้นเลย
ซึ่งความเข้าใจตรงนี้มันเกิดขึ้นยากมาก มันจะเกิดขึ้นได้ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่เริ่มห่างออกไปก่อน การที่เราเก็บอะไรเอาไว้นานๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่เวิร์กมันคือการทำร้ายซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นต้องมีสักคนที่ใจแข็งแล้วห่างออกมา เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและเริ่มชินกับมัน และจากกันได้แบบไม่ทำร้ายกันให้มากที่สุด
สมาชิก
เนม-ปราการ ไรวา (ร้องนำ)
นต-ปณต คุณประเสริฐ (กีตาร์)
นาฑี-นาฑี โอสถานุเคราะห์ (กีตาร์)
ไปร์ท-คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ (กลอง)