ขณะชายแดนไทย-กัมพูชาปะทะกันด้วยปัญหาเส้นเขตแดน ในเวลาเดียวกันฝั่งไทยกับเมียนมากลับไม่มีความขัดแย้งแย่งชิงดินแดน เพราะบรรยากาศการเมืองภายในเมียนมามีปัญหาสู้รบกันเองมากกว่าจะสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย
ความเป็นเอกภาพ ‘ภายในประเทศ’ ทั้งไทยและกัมพูชามีความคล้ายกัน คือศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ กรุงเทพฯ กับ พนมเปญ
โดยประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อมโยงตัวเองกับศูนย์กลางอำนาจของแต่ละรัฐชาติ (ฝั่งไทยเชื่อมโยงกรุงเทพฯ – ฝั่งกัมพูชาเชื่อมโยงพนมเปญ)
แม้ในแง่เชื้อสายชาติพันธุ์ของคนในพื้นที่ อาจมีที่มาเดียวกันก่อนจะเกิดรัฐชาติซึ่งทำให้มีเส้นเขตแดนแบ่งเป็นประเทศในศตวรรษที่ 19
ขณะที่เมียนมาแม้มีการรวมประเทศแล้ว แต่รูปแบบการปกครองยังต้องยอมรับว่ามีรัฐชาติพันธุ์หลายรัฐรวมกันอยู่ในประเทศเดียว
THE STANDARD สัมภาษณ์ นฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงแนวคิด ‘ชาตินิยม’ ที่ประสบความสำเร็จในไทย แต่แนวคิดดังกล่าวไม่สามารถเอาชนะแนวคิด
‘ชาติพันธุ์นิยม’ ได้ในเมียนมา โดยเมืองหลวงอย่างเนปยีดอ ไม่สามารถปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในพื้นที่รัฐชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ ในแง่นี้แตกต่างจากไทย ที่ศูนย์กลางอำนาจได้กลืนกลายให้ทุกเชื้อสายมีความรู้สึกร่วมเป็นชาติเดียวกัน แม้มีบรรพรุรุษจากต่างที่มากัน

ชื่อนี้มีความหมาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (The Republic of the Union of Myanmar) และ ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)
นฤมล: เมียนมามีราชวงศ์สุดท้ายคือราชวงศ์คองบอง มีพระเจ้าธีบอเป็นกษัตริย์และพระนางศุภยาลัตเป็นราชินีองค์สุดท้ายก่อนตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ จุดล่มสลายของราชวงศ์คองบอง ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของเรา
ก่อนหน้านั้นแผ่นดินเมียนมาประกอบด้วยหลายรัฐชาติพันธุ์ รวมถึงรัฐที่มีเอกราชของตัวเองซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ราชวงศ์คองบองด้วย
ต่อมาเมื่อทั้งประเทศตกอยู่ภายใต้อาณานิคมอังกฤษ ปกครองโดยอังกฤษ เมียนมาถูกเรียกเป็นมณฑลหนึ่งของอังกฤษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย
เมื่อเมียนมาได้เป็นประเทศเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นการรวมที่ประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์ ซึ่งแต่ละรัฐชาติพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้รู้สึกร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับ ‘รัฐพม่า’ ที่เนปยีดอ เมืองหลวงปัจจุบันซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางประเทศ
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (The Republic of the Union of Myanmar) มีอาณาเขตติดกับจีน, ลาว, ไทย, อินเดีย,บังกลาเทศ โดยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่รอบนอกของประเทศ หรือเรียกได้ว่าเป็นรัฐชายแดน
ขณะที่พื้นที่ตอนในเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและศูนย์กลางอำนาจของรัฐ ปัจจุบันเมียนมาแบ่งเขตการปกครองเป็น 7 รัฐ (State) 7 ภาค (Region) และ 1 เขตสหภาพ (เมืองหลวงเนปยีดอ ขึ้นตรงต่อรัฐบาลสหภาพ) และแบ่งการบริหารเป็นรัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลระดับสหภาพ มี 24 กระทรวง และรัฐบาลท้องถิ่นประจําภาคและรัฐ
ขณะที่สยาม ปัจจุบันคือราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) เมืองหลวงคือ กรุงเทพมหานคร ทางราชวงศ์ไทยได้เตรียมการต่างๆ สำหรับการเมืองการปกครองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และพัฒนาอย่างเป็นระบบในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะภายใต้แรงกดดันจากจักรวรรดินิยมตะวันตกและระหว่างกระบวนการกำหนดเส้นเขตแดนสมัยใหม่ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
รัฐสยามได้จัดตั้งหน่วยการปกครองแบบใหม่ ได้แก่ จังหวัด (สมัย ร.6) และระบบ มณฑลเทศาภิบาล (สมัย ร.5) พร้อมทั้งส่ง ข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ไปกำกับดูแลหัวเมืองต่าง ๆ อันรวมถึงการผนวกล้านนา หัวเมืองในภาคอีสาน และหัวเมืองมลายูปัตตานีเข้าสู่โครงสร้างรัฐส่วนกลาง
กระบวนการดังกล่าวสามารถตีความได้ว่าเป็นการสร้าง ‘อาณานิคมภายในประเทศ’ (internal colonialism) ควบคู่ไปกับนโยบาย การกลืนกลายทางการเมือง วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ แม้ว่าการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ของสยามจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ทำให้ประชากรจำนวนมากเกิดความรู้สึกเป็นชาติเดียวกัน
แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยไม่เคยเผชิญความขัดแย้งภายใน
ในทางประวัติศาสตร์ เคยเกิดการต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลางจากรัฐหรือชุมชนท้องถิ่นหลายครั้ง เช่น กบฏผีบุญ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งสะท้อนความพยายามของรัฐหรือชุมชนท้องถิ่นในการต่อรองและต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่สามารถเอาชนะอำนาจรัฐส่วนกลางจากกรุงเทพฯ ได้ ส่งผลให้การต่อสู้ของรัฐเล็กหรือชุมชนท้องถิ่นเหล่านั้นพ่ายแพ้ลง
นอกจากนี้ กรณี ปัตตานี ยังแสดงให้เห็นความขัดแย้งที่มีลักษณะยืดเยื้อและซับซ้อนยิ่งกว่า เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์รัฐสุลต่านเดิม อัตลักษณ์มลายูมุสลิม ภาษา ศาสนา และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างศูนย์กลางกับชายแดนใต้ ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดของกระบวนการสร้างรัฐชาติแบบรวมศูนย์ของสยาม/ไทย
สำหรับประเทศไทย กระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ตั้งอยู่บนหลักการที่กำหนดให้ ทุกฝ่ายต้องยุติการใช้กำลังอาวุธและยอมรับอำนาจรัฐส่วนกลาง ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ต้องคืนอาวุธและยอมรับกรอบของรัฐชาติ ได้แก่ หนึ่งประเทศ หนึ่งกองทัพ หนึ่งนโยบายต่างประเทศ หนึ่งสกุลเงิน และหนึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงปลายทศวรรษ 1970–1980 ภายใต้นโยบายความมั่นคงของรัฐไทย
แนวทางดังกล่าวสะท้อนลักษณะของรัฐชาติแบบรวมศูนย์ (centralised nation-state) ซึ่งแตกต่างจาก มาเลเซีย ที่มีโครงสร้างรัฐแบบสหพันธรัฐและยอมรับการดำรงอยู่ของสุลต่านในแต่ละรัฐ ภายใต้ระบบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ทำให้การจัดการความหลากหลายทางอำนาจและอัตลักษณ์มีลักษณะกระจายศูนย์มากกว่า
ประเทศไทยที่อยู่ภายใต้ ราชวงศ์จักรี (Chakri dynasty) นับตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีต่อจากสมัยอยุธยาและธนบุรี โดยไม่มีระบบการหมุนเวียนประมุขจากราชวงศ์หรือเจ้านายท้องถิ่นฝ่ายเหนือหรือฝ่ายใต้
ปัจจุบัน ประมุขของรัฐคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 แห่งราชสกุลมหิดล ในบริบทยุครัตนโกสินทร์ภายใต้ราชวงศ์จักรี
กรุงเทพฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง การปกครอง และสัญลักษณ์ของรัฐชาติ เนื่องจากไม่ปรากฏแรงต่อต้านจากรัฐหรืออำนาจท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งเพียงพอจะเอาชนะศูนย์กลางได้ในระยะยาว รัฐหรืออำนาจท้องถิ่นเดิม เช่น เจ้านายล้านนา เจ้าเมืองปัตตานี และเจ้านครศรีธรรมราช จึงถูกผนวกรวมเข้าสู่โครงสร้างรัฐส่วนกลางที่กรุงเทพฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านกลไกการปกครอง การทหาร และการกลืนกลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 บทบาทและความชอบธรรมของกองทัพไทยถูกยึดโยงอย่างชัดเจนกับอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ความเป็น ‘ชาติ’ ของไทยมีลักษณะแตกต่างจากกรณีของเมียนมา เนื่องจากรัฐไทยอธิบายความชอบธรรมของตนบนฐานของ บูรณภาพเหนือดินแดน และการเป็นรัฐเดี่ยว (unitary state) ตรงกันข้าม เมียนมามีประวัติศาสตร์การก่อตัวของรัฐในลักษณะสหพันธรัฐเชิงชาติพันธุ์ โดยประกอบด้วยรัฐและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากที่ดำรงอยู่มาก่อนการรวมประเทศภายใต้การปกครองของอังกฤษ
กองทัพเมียนมาจึงมีความวิตกอย่างลึกซึ้งต่อความเป็นไปได้ของการล่มสลายของรัฐและการแยกตัวของรัฐชาติพันธุ์ ส่งผลให้แนวคิดเรื่อง “เอกภาพ” (unity) ถูกให้ความสำคัญสูงสุดในอุดมการณ์รัฐ
แม้ในประเทศไทยเองจะมีบางกลุ่มใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เรียกร้องสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือการปกครองตนเอง แต่ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นข้อถกเถียงสำคัญ เนื่องจากรัฐไทยยืนยันการเป็นรัฐเดี่ยว และไม่ยอมรับแนวคิดสหพันธรัฐ ดังสะท้อนใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 1 ที่บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
ในกรณีของเมียนมา รัฐยอมรับอย่างเป็นทางการว่าตนเองเป็น สหพันธรัฐ อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในการสร้างฉันทามติร่วมระหว่างรัฐส่วนกลางกับรัฐชาติพันธุ์ ส่งผลให้แนวคิดชาตินิยมแบบรัฐ (state nationalism) ไม่สามารถเอาชนะ ชาติพันธุ์นิยม (ethnic nationalism) ได้อย่างเด็ดขาด โดยรัฐชาติพันธุ์จำนวนมากรับรู้ว่าตนมีสถานะเป็น ‘รัฐ’ ของตนเองมาอย่างยาวนาน และการรวมประเทศเป็นเพียงข้อตกลงทางการเมืองชั่วคราวในช่วงการต่อสู้เพื่อเอกราช
บริบทดังกล่าวย้อนไปถึงช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ นายพลอองซาน ผู้นำการเรียกร้องเอกราชของพม่า และบิดาของ อองซาน ซูจี (Daw Aung San Suu Kyi) มีบทบาทสำคัญในการรวมกลุ่มผู้นำรัฐชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม นายพลอองซานถูกลอบสังหารในปี ค.ศ. 1947 ระหว่างการประชุมกับผู้นำรัฐต่าง ๆ รวมถึงผู้นำรัฐฉาน เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงคร่าชีวิตผู้นำสำคัญ แต่ยังทำลายโอกาสในการสร้างรัฐสหพันธรัฐบนฐานของความไว้วางใจร่วมกันอย่างยั่งยืน

ชะตากรรมอองซานซูจี (Daw Aung San Suu Kyi) และ NUG (รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา)
นฤมล: อองซานซูจี บุคคลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมา ยังถูกคุมขังในเรือนจำ โดยญาติไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ และยังไม่ทราบชะตากรรมเป็นเวลา 2 ปีแล้ว
ขณะเมียนมามีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2563(2020) ซึ่งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของ อองซาน ซูจี ได้รับชัยชนะ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ กองทัพเมียนมา (ตะมะดอว์) ได้ทำรัฐประหารในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) โดยจับกุมอองซาน ซูจี และผู้นำพลเรือน
ภาพเหตุการณ์ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันรัฐประหารครั้งนั้นคือ มีหญิงสาวเต้นแอโรบิค ฉากหลังเป็นรถทหารที่มุ่งหน้าสู่รัฐสภาในกรุงเนปยีดอเช้าวันรัฐประหาร
ภายหลังรัฐประหาร ฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้จัดตั้ง รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (National Unity Government: NUG) ซึ่งอ้างความชอบธรรมจากเสียงประชาชนในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2563 แม้ NUG จะได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งจากบางประเทศและกลุ่มการเมืองระหว่างประเทศ แต่การยอมรับดังกล่าวยังมีลักษณะ จำกัด และไม่เป็นเอกฉันท์ในระบบรัฐระหว่างประเทศ
ปัจจุบัน NUG ยังคงดำรงอยู่ในฐานะรัฐบาลคู่ขนาน แต่ไม่สามารถควบคุมอำนาจรัฐหรือดินแดนส่วนกลางได้
ขณะกองทัพเมียนมา ผู้ทำรัฐประหารกุมภาพันธ์ 2564(2021) อ้างที่มาของตนเองว่ามาจากรัฐธรรมนูญเมียนมา พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ที่กำหนดบทบาทของกองทัพในการปกป้องรัฐธรรมนูญ รักษาความมั่นคง และคุ้มครอง ความเป็นสหพันธรัฐและเอกภาพของสหภาพ (Union) ภายใต้กรอบคิดของกองทัพ ภารกิจหลักคือการป้องกันไม่ให้ประเทศล่มสลายหรือแตกแยกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย โดยยอมรับได้เฉพาะความหลากหลายภายในรัฐ แต่ไม่ยอมรับการแยกตัวเป็นเอกราช
ด้วยเหตุนี้ กองทัพเมียนมาจึงมองว่าการรัฐประหารและการใช้อำนาจของตนเป็นสิ่งที่ชอบธรรมในนามของการรักษาเอกภาพของชาติ
ขณะที่ฝ่ายของอองซาน ซูจี และ NUG ยืนยันความชอบธรรมจากหลักประชาธิปไตยและเจตจำนงของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ส่งผลให้เมียนมาเผชิญกับ ความขัดแย้งด้านความชอบธรรม (competing legitimacy) ระหว่างอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งกับอำนาจที่อ้างบทบาทตามรัฐธรรมนูญของกองทัพ
ทั้งฝ่ายซูจีและฝ่ายกองทัพ ทั้ง 2 ฝ่ายในเมียนมา จึงอ้างความชอบธรรมแตกต่างกัน

จุดเปลี่ยนของการเลือกตั้งเมียนมา ปลายปี 2568(2025) ต้นปี 2569(2026)
นฤมล: กองทัพเมียนมาประกาศแผนการจัดการเลือกตั้งใหม่ในช่วง ปลายปี พ.ศ. 2568 ถึงต้นปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2025 – 2026) โดยมีเป้าหมายทางการเมืองที่ชัดเจนในการ ลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (NUG) ซึ่งอ้างที่มาจากชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020)
เหตุผลสำคัญที่ฝ่ายกองทัพใช้คือ การจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” จะทำให้ไม่สามารถอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าได้อีก โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเมียนมา (Union Election Commission – UEC) ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 330 เขตเลือกตั้งโดยเริ่มในวันที่ 28 ธันวาคม 2025 จำนวน 102 เขตเลือกตั้งก่อน เรียกว่าเฟสแรก ต่อมาก็เฟสที่สองและสามในช่วงต้นปี 2026
กำหนดการดังกล่าวยังคงเป็นการประกาศฝ่ายเดียวของรัฐบาลทหารและยังไม่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในบริบทของความไม่สงบและการควบคุมพื้นที่ที่ไม่ทั่วถึง ยกเว้นจีนที่แสดงท่าที สนับสนุนกระบวนการเลือกตั้งตาม ‘โรดแมปของเมียนมา’ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการ ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น และการเน้นเสถียรภาพ ความสงบเรียบร้อย และความเป็นเอกภาพของประเทศ
ส่วนนางอองซานซูจี อดีตที่ปรึกษาแห่งรัฐและสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเมียนมา ยังคงถูกคุมขังภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด การติดต่อสื่อสารและการเยี่ยมเยียนถูกจำกัดอย่างมาก ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่และสุขภาพของเธอแทบไม่ปรากฏต่อสาธารณะ
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนลักษณะความรุนแรงและการปิดกั้นทางการเมือง นับว่าการเมืองเมียนมาโหดกว่าการเมืองไทย ซึ่งครอบครัวชินวัตรยังสามารถเข้าเยี่ยมอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรได้ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว มีภาพถ่ายออกมาโชว์ด้วย แต่บุตรชายของอองซานซูจีไม่สามารถไปเยี่ยมแม่ตัวเองที่ถูกคุมขังในเมียนมาได้
ก่อนเลือกตั้ง 2563(2020) ก็ไม่ใช่ว่าคนชอบพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ของซูจีนะ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาคอร์รัปชัน การรวมศูนย์อำนาจ และลักษณะการนำที่ถูกมองว่าเผด็จการในบางมิติ รวมถึงการยึดโยงกับ ชาตินิยมแบบบะหม่า (Bamar nationalism) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็น โรฮีนจาในกรอบคิดชาตินิยมที่ครอบงำสังคมเมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากไม่จำกัดเฉพาะชาวบะหม่า มักไม่รับรู้ว่าโรฮีนจาเป็น ‘คนเมียนมา’ แต่มองว่าเป็นกลุ่มคนจากบังกลาเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมอังกฤษ เมื่ออังกฤษนำแรงงานจากภูมิภาคเบงกอลเข้ามาทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าว ภายหลังการยึดครองพม่าเป็นอาณานิคม ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวกลายเป็น บาดแผลทางการเมืองและชาติพันธุ์ ที่ถูกนำมาใช้อธิบาย
เห็นได้ชัดว่าความคิดชาติพันธุ์นิยมในเมียนมา ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะซูจีหรือ NLD แต่ผู้นำและชนชั้นนำของรัฐชาติพันธุ์อื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน เขาไม่รู้สึกว่าโรฮีนจาเป็นเมียนมา โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าจะอ้างว่าเป็นรัฐชาติพันธุ์ในเมียนมา ต้องมีประวัติศาสตร์อยู่ในแผ่นดินมายาวนานเท่าไหร่ เช่น การอ้างถึงกฎหมายสัญชาติปี 1982 ซึ่งกำหนดว่า กลุ่มชาติพันธุ์ที่จะได้รับการยอมรับเป็น ‘ชนชาติประจำชาติ’ (national races) ต้องมีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในดินแดนเมียนมาก่อนปี 1823 (ก่อนการขยายอำนาจของอังกฤษ) จึงจะได้รับการยอมรับ เกณฑ์นี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของ ชาติพันธุ์ชาตินิยมแบบอิงประวัติศาสตร์ และถูกใช้เป็นฐานในการกีดกันโรฮีนจาออกจากความเป็นพลเมืองและความเป็นชาติของเมียนมา เรียกได้ว่าเขามีเกณฑ์ที่เขาตั้งขึ้นในแนวคิดชาติพันธุ์ชาตินิยมโยงประวัติศาสตร์ของเขา

เลือกตั้งเมียนมา พรรคทหารไร้คู่แข่ง
นฤมล: การเลือกตั้งในเมียนมา มีทุก 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญปี 2008 ที่ผ่านมามีเลือกตั้ง 2010 / 2015 / 2020 ก่อนที่จะมีรัฐประหาร 2021 อย่างไรก็ตาม การอ้างว่า ‘ครบ 5 ปีแล้วจึงต้องเลือกตั้ง’ เป็น กรอบเหตุผลที่ฝ่ายกองทัพใช้ในเชิงวาทกรรม มากกว่าการสะท้อนกระบวนการประชาธิปไตยตามปกติ เนื่องจากรัฐบาลจากการเลือกตั้งปี 2020 ไม่เคยได้เข้าบริหารประเทศจริง
ในเชิงโครงสร้างการเลือกตั้ง เมียนมาไม่ได้มี ‘บัตรเลือกตั้งเพียง 2 ใบ’ แต่โดยทั่วไป ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนเพื่อเลือกสมาชิกสภาหลายระดับ ได้แก่ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (Pyithu Hluttaw) และการเลือกตั้งสมาขิกสภาชนชาติ หรือสภาชนเผ่า (Amyotha Hluttaw) และในบางช่วงยังรวมถึงการเลือกตั้ง สภาระดับภูมิภาคและรัฐ
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ที่นั่งร้อยละ 25 ในทุกสภาถูกสงวนไว้ให้กองทัพโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้กองทัพคงอำนาจไว้ได้ แม้ในบริบทการเลือกตั้ง
ในด้านพรรคการเมือง กองทัพเมียนมาสนับสนุนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งสืบทอดมาจากโครงสร้างอำนาจของทหาร ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า คะแนนนิยมของ USDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากไม่สนับสนุนการเมืองภายใต้กองทัพ อย่างไรก็ตาม USDP เคยชนะการเลือกตั้งในปี 2010 ภายใต้เงื่อนไขที่ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี ถูกสั่งว่าเป็นพรรคผิดกฎหมาย
การเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาไม่มีโอกาสสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพรรคฝ่ายประชาธิปไตยถูกยุบไปแล้ว และยังไม่มีการตั้งพรรคใหม่แบบในไทย ที่พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นพรรคก้าวไกล กลายเป็นพรรคประชาชน (พรรคส้ม)
การเลือกตั้งในเมียนมา จึงเป็นการแข่งขันกันระหว่าง USDP กับพรรคเล็กๆ หรือพรรคที่มีความใกล้ชิดกับกองทัพ ส่งผลให้ USDP มีโอกาสกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและครองเสียงข้างมากในสภา ในลักษณะคล้ายพรรคการเมืองที่สนับสนุนทหารในบางช่วงของการเมืองไทย
แม้คาดว่า USDP จะชนะเลือกตั้ง แต่ในเมียนมาอาจจะเกิดสถานการณ์บอยคอตไม่ไปเลือกตั้ง โดยฝ่ายต่อต้าน USDP ไม่ไปใช้สิทธิ เพราะฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมา มองว่าถ้าจะต่อต้านรัฐบาลทหาร ต้องไม่ไปร่วมสังฆกรรมหรือทำหน้าที่เป็นตรายางให้กับเผด็จการ กับรัฐบาลทหาร ต้องไม่ไปเล่นเกมเขา ไม่ไปให้ความชอบธรรมกับการเลือกตั้งของรัฐบาลทหารเมียนมา
ส่วนพรรคที่พยายามประนีประนอม (compromise) ก็ไม่ได้คะแนนจากทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายประชาธิปไตย ในบริบทการเมือง ชาวเมียนมามีวิธีคิดการเมืองแบบขาว-ดำ ถ้าเขาบอยคอตคือแปลว่าไม่เอาการเลือกตั้งเลย ดังนั้น ค่อนข้างชัดเจน USDP จะชนะ เพราะฝ่ายประชาธิปไตยจะไม่ไปสังฆกรรมด้วย ไม่ต้องการฟอกขาวให้รัฐบาล ไม่ต้องการเป็นตรายาง และก็จะตามมาด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่อง
สุดท้าย แม้รัฐบาลทหารอาจจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการ เปลี่ยนตัวบุคคลทางการเมืองบางส่วน เนื่องจากผู้นำทหารระดับสูงจำนวนมากยังคงเผชิญ มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ทั้งในรูปของการอายัดทรัพย์ การแช่แข็งบัญชี และการห้ามทำธุรกรรมทางการค้า ซึ่งจำกัดความสามารถของรัฐบาลทหารในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความชอบธรรมในเวทีโลก

เหตุที่ต้องจัดการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้นจะจริงหรือปลอม
นฤมล: กองทัพเมียนมายังคงมี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ จึงมีแรงจูงใจในการผลักดันให้เกิด ‘การเลือกตั้ง’ แม้ว่ากองทัพจะมีความมั่งคั่งสูงเมื่อเทียบกับประชาชนในประเทศ แต่โครงสร้างเศรษฐกิจของเมียนมา ไม่สามารถพึ่งพาตลาดภายในประเทศเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก การลงทุน และความร่วมมือจากต่างชาติ
นอกจากนั้น เงินทุน การลงทุน และความช่วยเหลือจากต่างประเทศจำนวนมากล้วนถูกผูกโยงกับเงื่อนไขด้านความชอบธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะการมีรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง หากกองทัพต้องการเข้าถึงการลงทุนจากต่างประเทศ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น อาหารและน้ำดื่ม หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ก็จำเป็นต้องสร้างภาพของ ‘กระบวนการทางการเมือง’ ผ่านการเลือกตั้ง มิฉะนั้น เมียนมาอาจถูกจำกัดการทำธุรกรรมไว้เพียงกับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศที่ไม่ตั้งเงื่อนไขด้านประชาธิปไตยอย่างเข้มงวด เช่น บางประเทศในอาเซียน จีน หรือรัสเซีย
รัฐบาลทหารเมียนมาจึงเผชิญสภาพ การบอยคอตและการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ คล้ายกับประสบการณ์ของประเทศไทยหลังการรัฐประหารในอดีต ซึ่งในช่วงที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินความร่วมมือบางด้านกับประเทศตะวันตกได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ถูกระงับ และความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศตะวันตกหลายแห่งถูกลดระดับ จนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้ง
ดังนั้น ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้นจะจริงหรือปลอม ก็ต้องมีการเลือกตั้ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ของความชอบธรรม (symbolic legitimacy) เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลเมียนมาสามารถกลับเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ และลดแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร เพิ่มระดับการยอมรับ ความร่วมมือ และการมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับประชาคมระหว่างประเทศ

ศูนย์กลางอำนาจไทยคือ กรุงเทพฯ แล้วเมียนมามีศูนย์กลางที่ไหน
นฤมล: เมืองหลวงเก่าเมียนมาคือ มัณฑะเลย์ พอตกอยู่ใต้อาณานิคมอังกฤษในปี ค.ศ. 1885 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 ของไทย ภายหลังการยึดครอง อังกฤษได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยัง ย่างกุ้ง (Rangoon) และใช้เป็นเมืองหลวงของพม่าในฐานะรัฐอาณานิคมเป็นเวลาหลายทศวรรษ ย่างกุ้งจะมีความคล้ายกรุงเทพฯ คือเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงกับระบบการค้าโลกในยุคอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้รับเอกราช ย่างกุ้งยังคงทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของเมียนมาต่อเนื่องมาอีกระยะหนึ่ง
ปัจจุบันศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองเมียนมา อยู่ที่เนปยีดอ เป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพในปี ค.ศ. 2005 ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ ใกล้เขตมัณฑะเลย์ อันถือเป็นการกลับไปสู่ heartland หรือศูนย์กลางดั้งเดิมของอำนาจรัฐ การย้ายเมืองหลวงดังกล่าวมีเหตุผลทั้งเชิงยุทธศาสตร์ ความมั่นคง และการควบคุมทางการเมือง
เนปยีดอถูกออกแบบให้เป็น เมืองหลวงที่สร้างขึ้นใหม่ (planned capital) คล้ายกรณีของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีพื้นที่กว้างขวาง ถนนขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐ และฐานทัพทหารตั้งอยู่เป็นสัดส่วน ซึ่งมีคำอธิบายอย่างไม่เป็นทางการของนักศึกษาเมียนมาและนักวิชาการเมียนมาบางส่วนชี้ว่า ย่างกุ้งเป็นเมืองที่สามารถระดมมวลชนและเกิดการประท้วงได้ง่าย ขณะที่เนปยีดอถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้าย ป้อมปราการ สามารถควบคุมความมั่นคงและจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนได้ดีกว่า
แต่เนปยีดอก็ไม่ใช่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เพราะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจประเทศคือ ย่างกุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้า การลงทุน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมียนมา สำหรับประเทศไทย เมืองหลวงคือกรุงเทพฯ ที่เป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและศูนย์กลางการเมือง ชนชั้นนำของไทยส่วนใหญ่ก็อยู่ในกรุงเทพ ซึ่งแตกต่างจากกรณีของเมียนมาที่แยกศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองออกจากศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

แนวคิด ‘ชาตินิยม’ ไม่สามารถเอาชนะแนวคิด ‘ชาติพันธุ์นิยม’ ได้ในเมียนมา
นฤมล: ดีเบตชาตินิยมแบบรัฐ (state nationalism) กับ ชาติพันธุ์นิยม (ethnic nationalism) ในเมียนมา ทำให้เราต้องนิยาม ‘ความเป็นชาติ’ ใหม่ เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากมองว่าตนเองก็มีความเป็นชาติในแบบของตนเอง เช่น ชาตินิยมกะเหรี่ยง ชาตินิยมคะฉิ่น หรือชาตินิยมรัฐฉาน กล่าวคือ ความเป็น “ชาติ” ในบริบทเมียนมาไม่ได้ผูกติดกับรัฐส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับ ชาติพันธุ์ (ethnicity) และดินแดนของกลุ่มตน
ชาตินิยมของเมียนมาจึงมีลักษณะเป็น ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์พหุ (multi-ethnic nationalism) ไม่ใช่ชาตินิยมของชนกลุ่มเดียว
ในหลายกรณี อัตลักษณ์ชาติพันธุ์มีความเข้มแข็งกว่าความรู้สึกผูกพันกับรัฐส่วนกลางที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เนปยีดอ ส่งผลให้ประชาชนในรัฐชาติพันธุ์จำนวนมากนิยามตนเองผ่านอัตลักษณ์ของรัฐหรือกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่าการนิยามตนเองในฐานะ ‘คนเมียนมา’
ขณะในไทย รัฐส่วนกลางประสบความสำเร็จในการสร้างชาตินิยมแบบรวมศูนย์ ผ่านระบบการศึกษา กลไกรัฐราชการส่วนภูมิภาคและการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จากส่วนกลาง ทำให้คนชายแดน รู้สึกว่าตัวเองเป็นไทย แม้ว่าตัวเขาเองจะมีเชื้อสายจีน เชื้อสายเขมร เชื้อสายลาว แต่รู้สึกว่าเป็นคนไทย มากกว่าชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษ ซึ่งไทยเราเรียกตามเชื้อสาย เช่น คนไทยเชื้อสายจีน คนไทยเชื้อสายเขมร คนไทยเชื้อสายลาว คนไทยเชื้อสายมอญ แม้ชีวิตประจำวัน คนเชื้อสายต่างๆ อาจจะใช้ภาษาท้องถิ่นและอาจจะมีความทรงจำของบรรพบุรุษที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม และเนื่องจากไทยมีระบบการศึกษาจากส่วนกลางมาโดยตลอด วิธีการเล่าเรื่องก็เปลี่ยนจาก ‘คนเชื้อสายลาว’ให้เป็น ‘คนอีสาน’ ซึ่งแปลว่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจมากกว่านิยามเชิงชาติพันธุ์
ในกรณีล้านนา คนเชียงใหม่ปัจจุบันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพลเมืองของอาณาจักรล้านนา แต่รับรู้ล้านนาในฐานะประวัติศาสตร์ในอดีตไปแล้วภายใต้กรอบรัฐชาติไทย
แต่รัฐไทยยังไม่สามารถทำให้กระบวนการกลืนกลายเชิงอัตลักษณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีอัตลักษณ์มลายูมุสลิม ภาษา ศาสนา และประวัติศาสตร์รัฐปัตตานีที่แตกต่าง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและการปะทะกับรัฐส่วนกลางเป็นระยะ
ในกรณีของเมียนมา ความแตกต่างยิ่งชัดเจนกว่า เนื่องจากประชาชนในรัฐชาติพันธุ์จำนวนมาก เช่น ในรัฐกะเหรี่ยงหรือรัฐคะฉิ่น ยังคงนิยามตนเองผ่านอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์และรัฐของตน มากกว่าการเชื่อมโยงกับรัฐส่วนกลางที่เนปยีดอ ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของการสร้างรัฐชาติแบบรวมศูนย์ในบริบทเมียนมา

เมื่อคนต่างชาติเข้าเมียนมา ต้องดีลกับใครบ้าง
นฤมล: คนนอกที่จะเข้าไปดำเนินกิจกรรมในเมียนมา ในบางพื้นที่เขาต้องดีลโครงสร้างอำนาจแบบสองระดับ (de facto dual authority) กล่าวคือ ต้องติดต่อและต่อรองทั้งกับ รัฐส่วนกลาง ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เนปยีดอ และกับอำนาจในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธที่มีอิทธิพลควบคุมพื้นที่จริงในบางเขต เช่น ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา
หากเดินทางข้ามจาก แม่สอด ไปยัง เมียวดี ในบางช่วงเวลาและบางเส้นทางโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ผู้เดินทางอาจต้องติดต่อหรือจ่ายค่าผ่านทางให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) ซึ่งมีอำนาจควบคุมพื้นที่โดยพฤตินัยในบางส่วน
ขณะเดียวกันก็ยังต้องดำเนินการภายใต้กรอบของ รัฐบาลกลางและกองทัพเมียนมา ที่อ้างอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าว โครงสร้างอำนาจลักษณะนี้สะท้อนสภาพ รัฐที่มีอำนาจทับซ้อน (overlapping sovereignty) เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ความมั่นคงและดุลอำนาจในแต่ละช่วงเวลาซึ่งแตกต่างจากรัฐเดี่ยวแบบไทยที่อำนาจถูกรวมศูนย์อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีหน่วยงานราชการในระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น แต่หน่วยงานเหล่านี้ทำงานภายใต้โครงสร้างอำนาจเดียวของรัฐส่วนกลาง ไม่มีการดำรงอยู่ของอำนาจคู่ขนานหรือกลุ่มติดอาวุธที่มีอำนาจควบคุมพื้นที่โดยพฤตินัยในลักษณะเดียวกับเมียนมา
เรียกได้ว่าความแตกต่างสำคัญระหว่างไทยกับเมียนมาอยู่ที่ว่า ไทยเป็นรัฐเดี่ยวที่สามารถผนวกและทำให้ความชอบธรรมของอำนาจท้องถิ่นอยู่ภายใต้ส่วนกลางได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ในขณะที่เมียนมายังคงเป็นรัฐที่เผชิญ ภาวะอำนาจซ้อนทับและการต่อรองอธิปไตยในระดับพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง

แนวคิด ‘ชาตินิยมไทย’ มีความหมายต่อการเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569(2026) ของไทย
นฤมล: ความเป็นชาตินิยมของไทยจะเข้มแข็งขึ้นในช่วงที่สังคมรับรู้ถึงภัยคุกคามจากภายนอก หรือเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีศัตรู เช่น เวลามีสงครามร่มเกล้ากับดินแดนฝั่งลาวปี 2530 – 2531 (1987 – 1988) หรือการปะทะทางทหารกับกัมพูชาในประเด็นปราสาทพระวิหาร ช่วง พ.ศ. 2551 – 2554 (2008 – 2011) ซึ่งล้วนส่งผลต่อบรรยากาศชาตินิยมภายในประเทศ
ดังนั้นกรณีการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ย่อมมีผลกับการเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569(2026) ผ่านวาทกรรมชาตินิยมและบทบาทของกองทัพ ที่ถูกทำให้เด่นชัดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนของประชาชนบางกลุ่ม การเมืองภายใต้กระแสชาตินิยมที่เข้มข้น มักเอื้อให้พรรคการเมืองที่เน้นวาทกรรมความมั่นคง อธิปไตย และบทบาทของกองทัพ ได้เปรียบในเชิงวาทกรรม หรือผู้ใช้สิทธิ์ที่ต้องอพยพหนีภัยการสู้รบมาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพก็อาจจะมีแนวโน้มอาจจะเลือกพรรคภูมิใจไทยมากกว่าพรรคอื่น เพราะเป็นพรรคที่ประกาศความเป็นชาตินิยม จะปกป้องอธิปไตยไม่ยอมสูญเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ขณะที่พรรคที่เสนอแนวคิด สันติภาพ การจำกัดบทบาททหาร หรือการประนีประนอมข้ามพรมแดน เช่น พรรคเพื่อไทย(แดง) กับพรรคประชาชน(ส้ม) อาจถูกโจมตีว่า ‘ไม่รักชาติ’ หรือ ‘อ่อนข้อ’ ได้ง่ายกว่า เพราะเมื่อกระแสชาตินิยมมาแรง ใครพูดสันติภาพก็จะโดนโจมตีว่าไม่รักชาติ
ประเทศไทยไม่มีสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเมียนมา เพราะรัฐไทยใช้กระบวนการสร้างรัฐชาติแบบรวมศูนย์ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 ซึ่งใช้ทั้งการปราบปรามและ ‘การกลืนกลาย’ ทางอัตลักษณ์ แนวคิดชาตินิยมของไทยจึงถูกสถาปนาและฝังรากมายาวนานตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ส่วนในเมียนมายังคงเผชิญความขัดแย้งทางชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกระบวนการสร้างรัฐชาติไม่สามารถทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยอมรับความเป็นศูนย์กลางของรัฐได้อย่างสมบูรณ์ เรียกได้ว่ายังเป็นวิธีที่ ‘กล้ำกลืน’
แม้ไทยจะมีรัฐประหาร แต่ก็ยังยอมให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย จะจริงหรือเก๊ก็ตาม ยังสามารถลงเลือกตั้งได้
ขณะพรรคฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมา ไม่มีโอกาสได้ลงเลือกตั้งด้วยซ้ำ ผู้ลงคะแนนจึงต้องเลือกต้องระหว่างพรรคเผด็จการมากหรือเผด็จการน้อย หรือไม่ก็บอยคอตไปเลย

ฝ่ายต่อต้านกองทัพส่วนกลางในเนปยีดอกับธุรกิจสีเทา
นฤมล: เรื่องน่าเศร้าคือ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกองทัพเมียนมาเองก็เผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรอย่างรุนแรง การพึ่งพาเงินบริจาคเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการดำรงอยู่และการต่อสู้ทางทหารในระยะยาว ส่งผลให้ กลุ่มต่อต้านบางส่วน หันไปพึ่งพาแหล่งรายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายหรือธุรกิจสีเทา เช่น เครือข่ายสแกมเมอร์ การค้ายาเสพติด หรือกิจกรรมผิดกฎหมายข้ามพรมแดน เพื่อนำเงินไปจัดหาอาวุธและสนับสนุนกองกำลังของตน
แม้หลายกลุ่มจะอ้างอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือการต่อต้านเผด็จการทหาร แต่รูปแบบการระดมทุนดังกล่าวก่อให้เกิด ปัญหาเชิงจริยธรรมและความชอบธรรม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของขบวนการต่อต้านในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ
ธุรกิจสีเทาจำนวนหนึ่งในพื้นที่ชายแดนเมียนมา-ไทย-จีน มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายทุนเชื้อสายจีน ซึ่งบางส่วนย้ายฐานจากพื้นที่ที่ถูกกวาดล้างมาก่อน เช่น สีหนุวิลล์ (กัมพูชา) หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษคิงส์โรมัน (ลาว) เข้ามายังพื้นที่ชายแดนเมียนมา โดยอาศัยสภาพรัฐอ่อนแอและอำนาจควบคุมพื้นที่ที่แตกกระจาย
โดยเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับ กองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธ บางกลุ่ม เช่น กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) หรือกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (Democratic Karen Buddhist Army: DKBA) ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบท
จากเดิมที่แยกตัวออกจาก KNU และเคยร่วมมือกับกองทัพเมียนมาในบางช่วง ก่อนจะเกิดความแตกแยกกับรัฐส่วนกลางในเวลาต่อมา
นอกจากนั้นสภาพการเมืองความมั่นคงของเมียนมาที่มีลักษณะ ‘เจ้าสงครามหลายศูนย์’ (fragmented warlordism) รัฐส่วนกลางไม่สามารถผูกขาดการใช้กำลังได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจัดการเลือกตั้ง แต่ในบริบทที่อำนาจถูกแบ่งแยกและควบคุมโดยกองกำลังหลากหลาย
การเลือกตั้งจึงยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพหรือความเป็นเอกภาพของรัฐได้ในระยะใกล้
ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ เมียนมาแทบไม่เผชิญความขัดแย้งด้านเส้นเขตแดนกับประเทศไทยในลักษณะสงครามรัฐต่อรัฐ แตกต่างจากกรณีไทย–กัมพูชา เนื่องจากพื้นที่ชายแดนเมียนมาจำนวนมากถูกควบคุมโดยกองกำลังชาติพันธุ์ที่กำลังสู้รบกับรัฐบาลกลางในเนปยีดอเอง
รัฐบาลทหารเมียนมาจึงไม่สามารถระดม “รัฐกันชน” หรือกองกำลังชายแดนมาใช้เป็นเครื่องมือในการเผชิญหน้ากับรัฐเพื่อนบ้านได้อย่างมีเอกภาพ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลเมียนมาในอดีตและปัจจุบันจึงมักวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยว่า เปิดพื้นที่พักพิงหรือเอื้อให้กลุ่มติดอาวุธที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐเมียนมา แม้ในความเป็นจริง ไทย-เมียนมาไม่ได้มีข้อพิพาทด้านเส้นเขตแดนในระดับรัฐต่อรัฐอย่างเป็นทางการ
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความแตกต่างระหว่าง ความขัดแย้งภายในรัฐ (internal armed conflict) กับ ความขัดแย้งระหว่างรัฐ (interstate conflict) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของกรณีเมียนมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


