×

5 หลักสูตรการเงินนอกห้องเรียน รู้ก่อน รวยเร็วกว่า วิชาบริหารเงิน-หนี้-ภาษี ที่คนทำงานต้องมีเพื่อเอาชนะความเสี่ยง ‘อายุยืนแต่เงินหมด’

27.12.2025
  • LOADING...
5 หลักสูตรการเงินนอกห้องเรียน รู้ก่อน รวยเร็วกว่า วิชาบริหารเงิน-หนี้-ภาษี ที่คนทำงานต้องมีเพื่อเอาชนะความเสี่ยง ‘อายุยืนแต่เงินหมด’

เรามักถูกสอนมาแค่ว่า ‘ตั้งใจเรียน จบมาทำงาน เก็บเงิน แล้วจะรวย’

 

แต่พอโตขึ้นได้เข้าสู่วัยทำงาน โลกความจริงโหดร้ายกว่านั้น บางครั้งแม้ว่าเราจะทำงาน มีเงินเดือนมั่นคง แต่สุดท้ายเราอาจไม่มีเงินเก็บอยู่ดี

 

และนี่คือ 5 หลักสูตรการเงินนอกห้องเรียน วิชาสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน แต่กลับเป็นสิ่งที่เราไม่มีพื้นฐานเลย

 

1. กฎข้อแรก ต้อง ‘จ่ายให้ตัวเองก่อน’ เสมอ (Pay Yourself First)

 

ความผิดพลาดทางการเงินที่คลาสสิกที่สุด คือการใช้สมการ รายได้ – รายจ่าย = เงินออม ซึ่งในทางปฏิบัติ มันคือสมการที่ล้มเหลว เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมีเงินอยู่ในมือ เรามักจะหาเหตุผลในการใช้มันจนหมดเกลี้ยงเสมอ

 

วิธีที่ถูกต้องและทรงพลังที่สุด คือการพลิกสมการใหม่เป็น ‘รายได้ – เงินออม = รายจ่าย’

 

ทันทีที่เงินเดือนเข้า ให้มองว่า ‘เงินออม’ คือ บิลใบแรก ที่เราต้องจ่ายให้ตัวเอง ดึงมันออกมาเก็บไว้ในที่ที่ถอนยากที่สุด ก่อนที่จะนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย การทำแบบนี้ไม่ใช่การบีบคั้นตัวเอง แต่เป็นการสร้างวินัยให้เราบริหารจัดการชีวิตด้วยเงินที่เหลืออยู่จริง และการมีวินัยคือบันไดก้าวแรกที่จะไปสู่ความมั่งคั่งที่มั่นคง

 

ซึ่งเป้าหมายการออมแรกที่สำคัญที่สุดคือ เงินสำรองฉุกเฉิน (Emergency Fund) ควรมีให้ได้ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อรองรับเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วย โดยไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน

 

Tip: การทำงบประมาณ (Budgeting) คือเทคนิคที่ช่วยเราบริหารเงินได้ดีขึ้น ลองจดบันทึกดูว่าเงินของเราไหล ไปที่ไหนบ้าง กาแฟแพงๆ? ช้อปปิงออนไลน์? การรู้ทางเดินของเงินจะช่วยอุดรอยรั่วทางการเงินได้ชะงัด เพราะต่อให้เราหาเงินเก่งแค่ไหน แต่ถ้าใช้หมดเกลี้ยง เราก็ไม่มีวันรวย

 

2. วิชาหนี้สิน เป็นหนี้อย่างไรให้ชีวิตไม่พัง

 

ในยุคที่การรูดปรื้ดเป็นเรื่องง่าย เรามักเผลอคิดว่า ‘ผ่อนไหว แปลว่าซื้อได้’ แต่นั่นคือกับดักที่น่ากลัวที่สุด เพราะหนี้ไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่นี่คือ ‘ภาระ’ ที่จะกัดกินรายได้ในอนาคตของเรา การเป็นหนี้เกินตัวเปรียบเสมือนเรากำลังขโมยเงินของตัวเองในอีก 3 ปีหรือ 5 ปีข้างหน้ามาใช้ล่วงหน้า

 

เราควรมีภาระผ่อนหนี้รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 30-40% ของรายได้ต่อเดือน หากเกินกว่านี้ ชีวิตจะเริ่มตึงเครียด ขยับตัวยาก และเสี่ยงต่อการล้มละลายหากขาดรายได้กะทันหัน

 

ในขณะเดียวกัน แม้ว่า ‘หนี้สิน’ เป็นสิ่งที่มีความสุ่มเสี่ยง แต่ถ้าหากใช้เป็น ก็จะสามารถช่วยสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เช่น ถ้าเป็นหนี้ดีที่เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้หรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต เช่น กู้ซื้อบ้าน, กู้เพื่อการศึกษา, หรือกู้มาลงทุนทำธุรกิจ

 

แต่ถ้าเป็นหนี้เลว คือหนี้ที่กู้มาซื้อสิ่งที่มูลค่าลดลงทันที หรือกินแล้วหมดไป เช่น รูดบัตรเที่ยวต่างประเทศ, ผ่อนโทรศัพท์รุ่นใหม่ทั้งที่เครื่องเก่ายังดีอยู่, กู้สินเชื่อส่วนบุคคลมาแต่งรถ ซึ่งของต่างๆ เหล่านี้ รอให้มีเงินเหลือแล้วค่อยซื้อก็ได้

 

และกฎเหล็กของการเป็นลูกหนี้ที่ดี คือ การจ่ายให้ตรงเวลา ไม่เบี้ยวหนี้ จะทำให้คะแนนเครดิตหรือเครดิตบูโรของเราดี ซึ่งสำคัญมากในอนาคตเมื่อต้องการกู้เงินก้อนใหญ่ เช่น ซื้อบ้านหรือทำธุรกิจ ธนาคารจะดูประวัติตรงนี้เป็นหลัก

 

3. พลังของดอกเบี้ยทบต้น เวทมนตร์ที่เปลี่ยนเงินน้อยให้เป็นเงินล้าน

 

นี่คือสิ่งที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยเรียกว่า ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก’

 

ดอกเบี้ยทบต้น คือเครื่องจักรผลิตเงินที่ทรงพลังที่สุดในโลก โดยมีเชื้อเพลิงสำคัญคือ ‘เวลา’ ยิ่งเราเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ เรายิ่งใช้แรงน้อยลงเท่านั้น

 

ดอกเบี้ยจากเงินออมที่ได้ในเดือนแรก จะกลับไปรวมเป็นเงินต้นเพื่อสร้างดอกเบี้ยในเดือนถัดไป ทบไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อนภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมา การเริ่มออมเงินหลักพันตั้งแต่อายุยังน้อย จึงมีค่ามากกว่าการออมเงินหลักหมื่นตอนอายุมาก นี่คือความลับที่ทำให้คนธรรมดาสามารถมั่งคั่งได้ เพียงแค่ให้เวลากับมันมากพอ

 

สมมติ นาย A เริ่มออมตอนอายุ 25 เดือนละ 2,000 บาท กับ นาย B เริ่มออมตอนอายุ 35 เดือนละ 2,000 บาทเท่ากัน เมื่อถึงวัยเกษียณ 60 ปี นาย A จะมีเงินมากกว่า นาย B ถึง 376,262 บาท (คิดจากดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และไม่ถอนออก)

 

ซึ่งในทางกลับกัน ขณะที่เราออมเงินหรือลงทุน พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะทำให้เงินเราเพิ่มพูนมหาศาลในระยะยาว แต่ถ้าเป็นหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิตและจ่ายแค่ขั้นต่ำ ดอกเบี้ยจะทบต้นทบดอกจนยอดหนี้บานปลายอย่างหยุดไม่อยู่ ยิ่งปล่อยไวนานก็ยิ่งปลดหนี้ได้ยาก

 

4. พื้นฐานภาษีที่หนีไม่พ้น รู้เท่าทันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

 

เมื่อมีรายได้ ภาษี คือเงาตามตัวที่โรงเรียนไม่ค่อยสอนวิธีจัดการ เรามักมารู้ตัวอีกทีตอนยื่นภาษีแล้วพบว่าต้องจ่ายเพิ่ม หรือเสียโอกาสในการลดหย่อนไปอย่างน่าเสียดาย

 

การวางแผนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่คือการบริหารจัดการรายได้ให้สอดคล้องกับเงื่อนไข เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้คุ้มค่าที่สุด

 

ไทยใช้โครงสร้างภาษีระบบ ‘อัตราก้าวหน้า’ ดังนั้น ยิ่งรายได้สุทธิสูง เปอร์เซ็นต์ภาษีที่ต้องจ่ายก็ยิ่งสูง (ตั้งแต่ 0% ไปจนถึง 35%)

 

ซึ่งสมการภาษี คือ รายได้ทั้งปี – หักค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ -> นำตัวนี้ไปคำนวณภาษี

 

ดังนั้น การวางแผนภาษี จึงมีความสำคัญ คือการใช้สิทธิประโยชน์ที่รัฐให้มาอย่างคุ้มค่า เพื่อลด ‘เงินได้สุทธิ’ ลง แล้วภาษีที่ต้องจ่ายก็จะลดลงไปด้วย

 

เราสามารถเลือกค่าลดหย่อนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินของเรา อย่างเช่น หมวดการออม/ลงทุน ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุน RMF/ThaiESG สิ่งเหล่านี้ช่วยลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นเงินเก็บให้เราในอนาคตด้วย

 

หรือหมวดประกัน ที่มีประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ นอกจากลดความเสี่ยงแล้ว ยังลดหย่อนภาษีได้อีก และหมวดอื่นๆ อย่างดอกเบี้ยบ้าน, เลี้ยงดูพ่อแม่, บริจาค

 

สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนเงินที่ ‘ต้องจ่ายทิ้ง’ ให้กลายเป็น ‘เงินออม’ ของตัวเราเอง การมีความรู้เรื่องภาษีจึงเปรียบเสมือนการรักษาเงินเก็บทางอ้อม และเป็นการอุดรอยรั่วทางการเงินที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่ง

 

5. แผนเกษียณต้องเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน

 

หลายคนคิดว่า ‘เกษียณ’ เป็นเรื่องของคนแก่ ไว้รออายุ 40-50 ค่อยคิดก็ได้ นั่นคือความประมาทที่สุด เพราะเราทำงานหาเงินไม่ได้ตลอดชีวิต วันหนึ่งแรงกายจะถดถอย แต่รายจ่ายในชีวิตประจำวันและค่ารักษาพยาบาลจะยังคงอยู่ (และแพงขึ้นด้วยเงินเฟ้อ)

 

ในยุคนี้การเกษียณไม่ใช่เรื่องของอายุ แต่คือสถานะความพร้อมทางการเงิน โจทย์ที่น่ากลัวที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่การจากไปก่อนวัยอันควร แต่กลับเป็น ‘ความเสี่ยงจากการมีอายุยืนเกินไป’ เพราะด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ เราอาจมีชีวิตอยู่ถึง 85 หรือ 90 ปี ซึ่งแปลว่าเราต้องเตรียมเสบียงเลี้ยงตัวให้นานถึง 25-30 ปี โดยที่ไม่มีเรี่ยวแรงทำงานหาเงินใหม่อีกแล้ว

 

อีกทั้งความหวังที่จะพึ่งพาลูกหลานหรือสวัสดิการรัฐอาจไม่ใช่คำตอบที่มั่นคงอีกต่อไป เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดมาเป็นการพึ่งพาตนเองให้ได้ 100% และไหนจะพลังของเงินเฟ้อ ที่กัดกินมูลค่าเงินออมของเราให้ลดลงทุกปี การฝากเงินในธนาคารเฉยๆ จึงเหมือนปล่อยให้เงินด้อยค่าลง เราจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ รักษามูลค่าอำนาจในการซื้อของเราไว้ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง

 

ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของการวางแผนเกษียณจึงไม่ใช่แค่การสะสมเงินก้อนโตให้ได้ตามตัวเลขที่ตั้งไว้อีกแล้ว แต่คือการเปลี่ยนเงินเก็บให้กลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด (Passive Income) ไหลเข้ากระเป๋าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลจากหุ้น ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือดอกเบี้ยพันธบัตร

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่ ‘เงินที่ไหลเข้ามาเอง’ มากกว่า ‘รายจ่ายในชีวิตประจำวัน’ วันนั้นคือวันที่เรามีอิสรภาพอย่างแท้จริง และสามารถเลือกที่จะหยุดทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้อายุถึงเกณฑ์

 

สุดท้ายนี้ วิชาการเงินอาจดูเหมือนเรื่องยากและซับซ้อน แต่แก่นแท้ของมันคือ ‘การรู้จักบริหารทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อสร้างชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด’ แม้โรงเรียนอาจจะไม่ได้มีสอน แต่ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเรียนรู้ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพราะการเงินไม่ใช่เรื่องของคนรวย แต่เป็นเรื่องของคนที่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง

 

ภาพ: Tara Moore/Getty Images

 

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising