ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม พ.ย. 2568 เพิ่มเป็น 89.1 ขยับขึ้นในรอบ 7 เดือน จากแรงหนุนมาตรการเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวช่วง High Season การส่งออกข้าว G2G เบิกจ่ายงบปี 2569 ชี้ยังต้องจับตาน้ำท่วมภาคใต้ การค้าชายแดน การนำเข้าเพิ่ม และเงินบาทแข็งค่า เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย
ประเด็นสำคัญ
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 87.3 ในเดือนตุลาคม 2568 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีดังกล่าว เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย
อาทิ โครงการ คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้ การเข้าสู่ช่วง High Season ยังส่งผลเชิงบวกต่อการบริโภคสินค้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจำหน่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี และก่อนวันหยุดยาวในเดือนธันวาคม ในส่วนของภาคการค้าการเจรจาการค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกไทย
อาทิ การค้าข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government-to-Government หรือ G2G) กับจีน (ปริมาณ 5 แสนตัน) และสิงคโปร์ (ปริมาณ 1 แสนตัน) มีส่วนช่วยขยายตลาดส่งออกให้เกษตรกร ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มรายได้และกำลังซื้อในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 (ณ 1 ตุลาคม-21 พฤศจิกายน 2568) อยู่ที่ 24.18% จากเป้าหมาย 33% ในไตรมาส 1 ยังช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
ห่วงระงับข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาชั่วคราว เสี่ยงขัดแย้งยืดเยื้อ
เกรียงไกร ระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังมีปัจจัยลบหลายประการที่กดดันภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม และบ้านเรือนเป็นวงกว้างก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ในช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2568 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องในปี 2569 ประมาณ 90,000 ล้านบาท
“การระงับข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาชั่วคราว ยังทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อออกไป และกระทบต่อการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง บวกกับการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ก็เป็นแรงกดดันสำคัญ ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568”
สินค้าจากต่างประเทศยังคงทะลักเข้าไทยเพิ่ม 16.3%
โดยพบว่าการนำเข้า เพิ่มขึ้น +16.3% (YOY) จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น +8.68% (MOM) จากเดือนก่อน โดยเฉพาะสินค้าแผงวงจรไฟฟ้า (+28.69% YOY) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (+14.33% YOY) และเหล็ก (+8.23% YOY) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศอย่างชัดเจน
นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อยู่ที่ -5.77% YTD (เทียบอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 มกราคม กับ 26 พฤศจิกายน 2568) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อรายได้และความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัยดังกล่าว แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญเนื่องจาก ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ยังคงต้องได้รับการเร่งฟื้นฟูและเยียวยาเพื่อให้พื้นที่และกิจกรรมเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อีกทั้งการชะลอการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับไทย อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า
แนะ 3 เรื่องสำคัญถึงภาครัฐ
1. เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ อาทิ เร่งให้บริษัทประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว กองทุนซ่อมแซมเครื่องจักรและมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับผู้ประสบอุทกภัย
2. เสนอให้ภาครัฐยกระดับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำให้เป็นวาระแห่งชาติ
3. เสนอให้ภาครัฐพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงาน (Direct PPA) ไปสู่ยังภาคอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรม Data center เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านพลังงาน เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด


