วันนี้ (12 ธันวาคม) เวลา 21.20 น. อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมสนทนาทางโทรศัพท์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
จากนั้น เวลา 22.05 น. นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังได้หารือทางโทรศัพท์กับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันเป็นเวลาเกือบ 20 นาทีว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ร่วมด้วย
การพูดคุยเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความเป็นห่วงในสถานการณ์อยากจะให้ทุกอย่างกลับไปยังจุดที่เคยเป็น คือ Joint Declaration (ปฏิญญาร่วม) ที่เคยเซ็นที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าประเทศไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขมาตลอด ไม่เคยออกนอกเงื่อนไขเลยแม้แต่น้อยแต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิด
ถ้าเป็นการละเมิดด้วยการปฏิบัติ เช่น การไม่ถอยกำลังออกไป ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต เราก็จะต้องมาพูดคุยกันให้เขาปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดการละเมิดโดยที่ทำให้ฝ่ายไทยมีการสูญเสียอวัยวะ ชีวิต และทรัพย์สิน ประเทศไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องตอบโต้เพื่อป้องกันอธิปไตย ทรัพย์สิน และสุดท้ายที่เราต้องดำเนินการสูงสุดคือการป้องกันชีวิตประชาชนของเรา นี่คือเหตุที่ต้องอธิบายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นท่านจะเข้าใจว่าเราเป็นฝ่ายจู่โจมรุกรานกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่แบบนั้นเลยแต่เราตอบโต้ซึ่งบางครั้งต้องทำให้เขาได้ยินว่าอย่ามาทำแบบนี้กับเรา เราไม่ใช่ประเทศที่คุณอยากจะทำอะไรคุณก็มาทำได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าคนที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาอย่างเรากับกัมพูชา ถ้าเกิดใครพูดกับใครเขาก็คงใช้ข้อมูลฝ่ายเดียวไม่ได้ ดังนั้น เขาก็ต้องมาฟังข้อมูลจากฝ่ายไทยซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้บอกกับสหรัฐฯ หรือไม่ว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นี่เป็นเรื่องของประเทศไทย ทำไมจะต้องเอาเรื่องการเลือกตั้งมาเกี่ยวข้องกับการปกป้องอธิปไตยหรือการป้องกันประเทศ ตอนนี้ต้องพูดถึงว่าทำอย่างไรที่จะไม่ทำให้ทหารหรือประชาชนต้องได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากการรุกรานยิงจรวดยิงระเบิดยิงกระสุนเข้ามามาจากฝั่งกัมพูชา เรื่องการเมืองหรือเรื่องเลือกตั้งไม่มีความสำคัญกับตนเลยแม้แต่น้อย เท่ากับชีวิตคนคนหนึ่งที่อยู่ตามแนวชายแดนที่เป็นคนไทย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ฟังแล้วมีคำพูดอะไรกลับมาบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่านบอกว่าท่านเข้าใจ ถ้ามีเรื่องแบบนี้ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสายตรงถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ตลอดเวลา และท่านก็บอกว่าถ้ามีอะไรให้ตนโทรหาท่านได้ตลอดเวลาเช่นกัน เพียงแต่ท่านยังไม่บอกเบอร์ตน ซึ่งตนก็เรียนกับท่านว่าคงยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะคิดว่าประเทศไทยรับมือต่อสถานการณ์ได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็มีการพูดคุยกับทางสหรัฐฯ หลายระดับเป็นประจำอยู่แล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้สหรัฐฯยังไม่ได้กดดันให้เราหยุดยิงใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็อยากให้หยุดยิง ซึ่งตนได้บอกไปว่าขอให้ไปบอกเพื่อนเราดีกว่า ว่าอย่าบอกว่าหยุดยิงเฉยๆ แต่ต้องบอกให้โลกรู้ว่ากัมพูชาจะหยุดยิง จะถอนกำลังออกไป จะเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด และจะทำให้เห็น ถ้าเป็นแบบนั้น ประเทศไทยอยู่เฉยๆ ไม่เคยอยากจะเข้าไปได้อะไรของเขาอยู่แล้ว แต่เขาต้องหยุดทุกอย่างก่อน นี่เป็นสิ่งที่กองทัพได้รายงานกับตนมาตลอด ว่ามันจะถึงจุดนี้เมื่อวันที่เราเก็บกู้ระเบิดภายใต้ Joint Declaration ไปถึงจุดที่เราจะเจอเยอะมากแล้วเขาจะไม่ยอมให้เราเข้าไป เราได้เก็บมา 2-3 สัปดาห์ โดยมี ASEAN Observer Team (AOT) เป็นสักขีพยานของนานาชาติจากอาเซียนมาร่วมกับเรา และวัตถุระเบิดที่เราไปเก็บกู้มาหรือระเบิดที่ทำให้ทหารเราบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นระเบิดใหม่เพิ่งวาง ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดสัญญา ดังนั้น คนที่ละเมิดสัญญาต้องแก้ไข ไม่ใช่คนที่ถูกกระทำมาแก้ไข เป็นหลักสากลที่ทุกคนต้องเข้าใจ
เมื่อถามว่า ก็จะมองว่าพื้นที่ที่เขายึดอยู่เป็นพื้นที่ของกัมพูชาและจะไม่ยอมถอยออกไป อนุทิน กล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นของฝ่ายกัมพูชา แต่ภายใต้ Joint Declaration มีการระบุว่า ต้องร่วมกันปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เป็นอันตรายด้วยหลักมนุษยธรรม
จากนั้น สีหศักดิ์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่กัมพูชากล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของเขาจะต้องมีการปฏิบัติการร่วมกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อถึงพื้นที่ตาควายที่ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมถอย อนุทิน ระบุว่า ในรายละเอียดเป้าหมายของกองทัพเป็นอย่างไรตนไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะกองทัพมีแผนดำเนินการ และมีการแถลงให้ประชาชนรับทราบอยู่ทุกวัน ฉะนั้น พวกเราทั้งสามคนมีหน้าที่ดูเรื่องของนโยบาย เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ และประเทศได้ประโยชน์
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ไม่ใช่ว่าจะรบลูกเดียวไม่มีใครรบ และไม่มีใครอยากเห็นคนเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ แต่อธิปไตย และดินแดนของไทย หากตนยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่จะไม่ยอมให้ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ยอมให้ถูกละเมิด ไม่ยอมให้ถูกลอบยิง เพราะฝ่ายบริหารประเทศมีความขัดแย้งกัน แต่ประชาชนไม่รู้เรื่องอะไร เรื่องนี้ตนก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนว่าในพื้นที่ทหารก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม ส่วนเรื่องกรอบระยะเวลาการสู้รบนั้น เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าจะทำอะไร ทุกคนก็ต้องดำเนินการ แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือภายใต้กฎหมายไทยหรือกฎหมายสากล จะไม่มีการละเมิดจากฝ่ายไทยอย่างแน่นอน และสิ่งที่ฝ่ายไทยสามารถพูดกับผู้นำต่างประเทศได้ ก็เพราะเราไม่เคยละเมิดสัญญาที่เราเคยลงนามไว้ และไม่เคยรุกรานดินแดนของเพื่อนบ้าน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ฝ่ายไทยยังพอมีเวลาในการยึดพื้นที่คืนหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ตนได้หารือกับกองทัพ และกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกท่านมีความมั่นใจ และต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าจะสนับสนุนซึ่งกันและกันและมีเป้าหมายเดียวกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าโดนัลด์ ทรัมป์ บอกหรือไม่ว่าจะไปคุยกับกัมพูชาวันไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการคุย ตนได้บอกเขาว่าขอให้ไปบอกฝั่งโน้น เพราะเป็นผู้ละเมิดสัญญา
เมื่อถามว่า ดูเหมือนกัมพูชาพร้อมหยุดยิง แต่ถ้าเราหยุดยิงในตอนนี้ ในขณะที่การสู้รบยังเผด็จศึกไม่จบยังมีเวลาอีกกี่วัน อนุทิน กล่าวว่า คำว่าสำเร็จหมายความว่าอย่างไร จะต้องมายิงคนอีกกี่คนนั้นไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ยังไม่หยุดยิง ขณะที่ สีหศักดิ์ กล่าวว่า ถือว่าการหยุดยิงเป็นกลยุทธ์
เมื่อถามว่า ประเมินหรือไม่ว่าทำไมโดนัลด์ ทรัมป์ เลือกที่จะคุยกับฝ่ายไทยก่อน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าเขาได้คุยกับทางกัมพูชามาก่อนแล้ว เพราะดูท่าทางแล้วไม่ได้คุยกับฝ่ายไทยก่อน ซึ่งได้ข้อมูลผิดๆมาว่า เราเป็นคนรุกราน ซึ่งเราใช้กองกำลังทางอากาศก็ดูเหมือนว่า เราเป็นฝ่ายรุกราน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ค้าน ซึ่งเราไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานแต่เป็นการตอบโต้
เมื่อถามว่า บรรยากาศการคุยท่าทีของสหรัฐฯ เชื่อเราหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ ประเทศไทยเป็นประเทศอธิปไตย เขาต้องเชื่อเรา ผมไม่ได้พูดในฐานะอนุทิน แต่พูดในฐานะรัฐบาลไทย คำพูดของรัฐบาลไทยต้องได้รับความน่าเชื่อถือจากนานาชาติ ไม่เช่นนั้นเราจะยืนอยู่บนแผนที่โลกไม่ได้”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงหารือมีการพูดถึงเรื่องการลดภาษีสหรัฐฯด้วยหรือไม่ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “คุยครับ ท่านก็ให้สัญญารับรองจะให้ประเทศไทยดีกว่าประเทศอื่น ซึ่งท่านบอกว่า ก่อนหน้านี้ที่คุยกันลืมสั่งไปงานท่านเยอะ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดหรือไม่ว่าจะลดภาษีให้ประเทศไทยเมื่อใด อนุทิน กล่าวว่า เราทำหน้าที่ของเรา ถึงเวลาศุภจีไปเจรจา สิ่งที่ผู้นำทั้งสองประเทศคุยกันไว้ได้ยกขึ้นมา ซึ่งท่านไม่ลืมแน่นอน เพราะเป็นการพูดกันครั้งที่สองแล้ว เป็นแนวโน้มที่ดี และท่านเป็นคนที่ถามมาเอง ซึ่งตนได้แจ้งไปว่าเรื่องภาษียังไม่ไปไหนเลย ก็รอโดนัลด์ ทรัมป์ ลดภาษีให้เพิ่มขึ้นอยู่ ซึ่งท่านบอกว่า “ขอโทษที และจำเรื่องนี้ได้ และบอกว่าลืมไป เดี๋ยวจะจัดการ” และท่านไม่ได้มากดดัน ไม่ได้มีท่าทีจะมาผูกกันกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
เมื่อถามว่า โดนัล ทรัมป์ ได้บอกหรือไม่ว่าจะลดภาษีให้เท่าไหร่ อนุทิน กล่าวว่าเดี๋ยวให้ศุภจีไปอ้อนให้ได้เยอะๆ



