×

ทำไมหลายประเทศในอาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร

04.12.2025
  • LOADING...
ทำไมหลายประเทศใน อาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเครือข่ายสแกมเมอร์ในอาเซียน โดยทางการไทยพึ่ง​​ยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ (Scammer) ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคของ ‘รัฐสแกม’ (Scam State) ซึ่งหมายถึง ประเทศที่อุตสาหกรรมผิดกฎหมายได้หยั่งรากลึกในสถาบันที่ถูกกฎหมาย เข้าไปปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ รวมถึงสร้างการทุจริตในรัฐบาล และสร้างการพึ่งพากันระหว่างรัฐกับเครือข่ายผิดกฎหมาย คล้ายคลึงกับคำว่า ‘รัฐยาเสพติด’ (Narco-State) ที่มักจะถูกใช้เมื่อกล่าวถึงหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกา

 

การเติบโตของอุตสาหกรรมสแกมเมอร์

 

ขนาดอุตสาหกรรมของเครือข่ายสแกมเมอร์ระดับโลกเติบโตขึ้นในระดับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี อุตสาหกรรมนี้ได้ยกระดับขึ้นอย่างมาก จากอีเมลที่สะกดผิด ไปสู่ระบบที่ซับซ้อนขนาดใหญ่ จากแก๊งหลอกลวงออนไลน์ขนาดเล็ก ไปสู่เศรษฐกิจการเมืองระดับอุตสาหกรรม ซึ่งทำเงินได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหยื่อทั่วโลก

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ขนาดของอุตสาหกรรมนี้อาจอยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับการค้ายาเสพติดผิดกฎหมายทั่วโลก

 

อาเซียน: ศูนย์กลาง ‘รัฐสแกม’?

 

รายงานพบว่า ศูนย์สแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มักดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ มักมีต้นกำเนิดจากประเทศจีน แต่มีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เป็น ‘ศูนย์กลาง’ (Ground Zero) โดยศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ขัดแย้งหรือตามพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีกฎหมาย หรือมีการควบคุมไม่ทั่วถึง

 

มีรายงานว่า มีศูนย์ปฏิบัติการของเครือข่ายสแกมเมอร์ประมาณ 400 แห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในประเทศ สปป.ลาว และในกัมพูชามีไซต์อาคารที่ต้องสงสัย 253 แห่ง โดยหนึ่งในศูนย์สแกมเมอร์ที่มีชื่อเสียงแถบอาเซียนคือ KK Park ในเมียนมา ซึ่งเคยมีการบังคับใช้แรงงานเพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นหลอกลวงผู้คนทั่วโลกผ่านช่องทางออนไลน์ แม้ว่าศูนย์สแกมเมอร์ที่ KK Park จะถูกทำลาย แต่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติก็ได้ย้ายฐานปฏิบัติการไปยังที่อื่นแล้ว

 

ในย่านอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ภายในปลายปี 2024 สร้างเม็ดเงินราว 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 40% ของเศรษฐกิจในระบบของประเทศในแถบนี้รวมกัน โดยตัวเลขนี้ถือว่า ‘ค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริง’ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

เจสัน ทาวเวอร์ จาก Global Initiative against Transnational Organised Crime กล่าวว่า นี่คือพื้นที่ที่มีการเติบโตอย่างมาก และได้กลายเป็นตลาดผิดกฎหมายระดับโลกโดยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงถึงราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากย้อนกลับไปในปี 2020 ตลาดหรือขนาดอุตสาหกรรมนี้ยังแทบจะเทียบไม่ได้กับในปัจจุบัน

 

เจค็อบ ซิมส์ นักวิชาการรับเชิญ ประจำศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาคแม่น้ำโขง ระบุว่า ในแง่ของ GDP รวมนั้น อุตสาหกรรมของเครือข่ายสแกมเมอร์คือ ‘กลไกทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น’ สำหรับอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงทั้งหมด และนั่นหมายความว่า อุตสาหกรรมนี้ก็เป็น ‘กลไกขับเคลื่อนทางการเมืองที่โดดเด่น’ เช่นกัน

 

หัวใจหลักของปฏิบัติการคือ ‘การหลอกลวงแบบเชือดหมู’ (Pig-Butchering Scams) ซึ่งผู้หลอกลวงจะสร้างความสัมพันธ์ทางออนไลน์ ก่อนที่จะหลอกลวงให้เหยื่อสูญเสียเงิน โดยมักจะเป็นการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ผู้หลอกลวงได้ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากขึ้นในการหลอกเหยื่อ เช่น การใช้ AI สร้างภาพ (Generative AI) เพื่อแปลภาษาและต่อบทสนทนาให้ลื่นไหลและน่าเชื่อถือ รวมถึงใช้เทคโนโลยี Deepfake เพื่อสนทนาทางวิดีโอ และออกแบบเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบตลาดการลงทุนจริง ผลการสำรวจหนึ่งพบว่า เหยื่อถูกหลอกโดยเฉลี่ยคนละ 155,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.66 ล้านบาท)

 

ทำไมปัญหาสแกมเมอร์ถึง ‘หยั่งรากลึก’ ในอาเซียน

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า แม้รัฐบาลหลายประเทศในอาเซียนจะพยายามเดินหน้าจัดการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์อย่างจริงจังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เขากลับมองว่า ส่วนใหญ่เป็นเพียงการ ‘สร้างภาพ’ (Performative) หรือมุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้เล่นระดับกลาง’ ซึ่งเป็นเหมือน ‘ละครการเมือง’ (Political Theatre) เท่านั้น แม้จะได้รับแรงกดดันจากนานาชาติ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจริงที่จะกำจัดภาคส่วนที่สร้างเม็ดเงินนี้ เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล

 

เจค็อบ ซิมส์ แสดงความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิธีการเล่นเกม ‘Whack-a-Mole’ หรือเกมทุบตัวตุ่น ที่คุณไม่ได้ต้องการที่จะทุบตัวตุ่น (หรือผู้เล่นรายใหญ่) ลงไปจริงๆ

 

นอกจากนี้ เจสัน ทาวเวอร์ ยังมองว่า ศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ คือโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเปิดเผย และพบเห็นได้อย่างชัดเจนในพื้นที่บริเวณชายแดน ซึ่งคุณสามารถเดินเข้าไปในบางแห่งได้ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ‘ระดับการลอยนวลพ้นผิดอย่างรุนแรง’ (Extreme Level of Impunity) และสะท้อนว่า รัฐไม่เพียงแค่ ‘ทน’ ต่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ผู้กระทำความผิดทางอาญาเหล่านี้กำลัง ‘ฝังตัวอยู่ในรัฐ’ (State Embedded) ซึ่งถือเป็น ‘สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ช่องโหว่ในการหาผลประโยชน์และกัดกร่อนรัฐจากภายใน

 

ผู้เชี่ยวชาญยังได้ยกตัวอย่างความเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายสแกมเมอร์กับภาครัฐ เช่น การทำลายศูนย์ KK Park ในเมียนมา เห็นได้ชัดว่า พวกเครือข่ายสแกมเมอร์ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการปราบปราม จึงรีบย้ายฐานปฏิบัติการไปยังที่อื่น ทำให้การปราบปรามแบบถอนรากถอนโคนยังทำไม่สำเร็จ เนื่องจากรายได้ของศูนย์สแกมเมอร์ได้กลายเป็น ‘แหล่งเงินทุนหลัก’ สำหรับกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา

 

รวมถึงกรณีอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทยที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา แม้ตัวเขาจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และกรณีคดีของ อลิซ กัว อดีตนายกเทศมนตรีของฟิลิปปินส์ ที่ถูกศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต พร้อมถูกปรับเป็นเงิน 2 ล้านเปโซ (ราว 1.1 ล้านบาท) ในข้อหาค้ามนุษย์ (Human Trafficking) โดยอัยการฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า อลิซ กัว ซึ่งแสร้งทำเป็นพลเมืองฟิลิปปินส์ ได้รับสมัครชาวต่างชาติ เพื่อดำเนินการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scams)

 

ทาวเวอร์ ยังกล่าวถึงอุปสรรคสำคัญที่มีส่วนทำให้ปัญหาสแกมเมอร์ถึงหยั่งรากลึกในหลายประเทศแถบอาเซียน นั่นคือ ทั่วทั้งอาเซียน กลุ่มผู้บงการเครือข่ายสแกมเมอร์ กำลังปฏิบัติการในระดับที่สูงมาก พวกเขาได้รับเอกสารรับรองทางการทูต บางคนได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ในแง่ของระดับการมีส่วนร่วมและการครอบงำโดยรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือ ‘เป็นเรื่องใหญ่มาก’

 

แฟ้มภาพ: Naphatpixs / Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising