สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในข่าวว่าด้วยคนมีเพศสัมพันธ์กันในสวนสาธารณะคือ ความพยายามจะอธิบายว่ามนุษย์ที่เที่ยวไปซั่มกันในสวนนั้นไม่ใช่คนไทย เพราะเมื่อมีคนไปพบเจอแล้วบอกให้หยุดก็ไม่หยุด สงสัยเป็นเพราะฟังภาษาไทยไม่ออกแน่ๆ ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ คนไทยไม่มีวันทำอะไรอย่างนั้น เพราะคนไทยเราขี้อาย รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรื่องมีเซ็กซ์กันเรี่ยราดเราคนไทยไม่ทำ เรามีเพศสัมพันธ์กันอย่างสุภาพ เรียบร้อย นั่งพับเพียบด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ แต่นิสัยคนไทย สุภาพ สำรวม จบนะ
ไอ้ที่เจอเศษซากถุงยางเป็นร้อยเป็นพันอันน่ะ ต้องเจ๊ก แขก ฝรั่ง ไทใหญ่ พม่า ทั้งหมดแน่ค่ะคุณเจ้าขา เราต้องติดป้ายห้ามมีเซ็กซ์ในสวนสัก 5 ภาษานะเจ้าคะ ให้ไอ้อีต่างชาติที่ซั่มกันไม่รู้ไม่เลือกสถานที่ทำเป็นหมาติดสัดเดือนสิบสองต้องสำเหนียกเสียบ้างว่าจะมาทำบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ในเมืองไทยมิได้
ดังนั้นเมื่อมีแต่ต่างชาติทั้งนั้นแหละที่ไปมีเซ็กซ์กันในสวน สิ่งที่เราอยากรู้คือ โอ๊ย พวกคุณมึงจะดั้นด้นไปเอากันในสวนให้ยุงกัดกันทำไมคะ ทำไมไม่พลอดรักกันเย็นๆ ในห้องแอร์ บนที่นอนนุ่มๆ หมอนดีๆ ที่บ้าน โรคจิตหรือเปล่า?
สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงลูกทุ่ง อ่านวรรณกรรมไทยเก่าๆ คงเคยอ่านเคยฟังว่าการเข้าพระเข้านาง หรือเพลงเกี้ยวพาราสีในหลายกรณี ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกบ้านทั้งสิ้น และหลายครั้งชวนให้เข้าใจได้ทันทีว่าบทอัศจรรย์พระนางเข้าด้ายเข้าเข็มกันนั้นมักเกิดที่กลางทุ่ง ในสวน ในเถียงนา ลอมฟาง ฯลฯ โอ้ เพลง เสียสาวที่สวนหอม ก็ลอยเข้าหัวมาเลย
อึ๋ย แล้วทำไมคนไทยในเพลง ในวรรณกรรม เขาเที่ยวไปอะจึ๊กอะจั๊กโอ้โลมปฏิโลมกันนอกบ้านล่ะ? (อ้าว แล้วที่บอกว่าคนไทยไม่มีวันจะไปสอดใส่กันในสวน ในที่แจ้ง มันก็ชักจะไม่จริงแล้วสิ?)
ก็คงต้องเริ่มอธิบายกันยาวๆ แบบนี้เลยว่า คอนเซ็ปต์บ้านสมัยใหม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘พื้นที่ส่วนตัว’ และ ‘ห้องส่วนตัว’ มันเพิ่งจะปรากฏตัวให้เห็นบนโลกนี้แค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น แม้แต่อพาร์ตเมนต์ในญี่ปุ่นทุกวันนี้เรายังสามารถพูดได้เลยว่าเป็นห้องที่ไม่มี ‘ห้องนอน’ เพราะในห้อง 1 ห้องเป็นทั้งห้องครัว กินข้าว พักผ่อน รับแขก และเมื่อจะนอนจึงคลี่เอาฟุตง หรือที่นอนมาปู ตอนเช้าก็เก็บที่นอนเข้าตู้ technically คือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องนอน’
บ้านคนไทยสมัยก่อนก็เช่นกัน (แม้แต่ในยุโรปตั้งแต่ยุคกลาง) ไม่มีธรรมเนียมใดๆ ว่าด้วยการมีห้องนอน หรือห้องส่วนตัวที่เป็นสัดเป็นส่วน โดยมากมีห้องโถงกลาง อเนกประสงค์ มีชานบ้านไว้นั่งเล่น เวลานอนก็ปูเสื่อ ปูที่นอน หามุมนอนของใครของมัน ลูกหลาน พ่อแม่ ตายาย ก็นอนรวมๆ เรียงๆ กันเป็นตับ
ว่ากันว่าถ้าเป็นลูกสาวก็นอนใกล้พ่อใกล้แม่หน่อย ลูกชายอาจต้องระเห็จไปนอนชานบ้าน เพราะมักออกไปเตร็ดเตร่กลางคืน จะได้ไม่รบกวนใครเวลากลับมาดึกๆ ความเป็นสัดเป็นส่วนอันเดียวที่มีอยู่สำหรับการนอนน่าจะเป็นมุ้ง อย่างไรก็ตาม ครอบครัวไทยสมัยก่อน พี่ๆ น้องๆ ก็นอนบนที่นอนเดียวกัน ในมุ้งหลังเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ
นั่นแหละ เมื่อไม่มีห้องนอน ไม่มีห้องส่วนตัว หนุ่มสาวหรือมนุษย์คนไหนอยากจะอะจึ๊กอะจั๊กกัน จะมาอะจึ๊กอะจั๊กในบ้าน ก็แหม มุมนั้นก็มีคนขูดมะพร้าว มุมนี้ลูกหลานก็เล่นหมากเก็บ อีกมุมก็อาจกำลังเล่าเรื่องผีเอ็นเตอร์เทนกันอยู่ ก็คงต้องขยิบหูขยิบตา ชวนกันออกไปหามุมลี้ลับ มุมปลอดคน มุมลับตา แล้วได้บรรยากาศแบบมีแสงเดือนแสงดาวได้ก็ยิ่งโรแมนติก เซ็กซ์ที่เกิดขึ้นนอกบ้านก็คงมาด้วยเหตุนี้
ยิ่งเซ็กซ์ระหว่างหนุ่มสาวที่เพิ่งจีบกัน พ่อแม่ยังไม่รู้ หรือประเภทโรมิโอและจูเลียตที่ลักลอบรักกันโดยที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย การพบกัน การพลอดรักก็ยิ่งต้องหลบซ่อน สุดท้ายก็จะจบลงด้วยการท้อง ท้องแล้วก็ไปขอขมา ขอขมาแล้วก็แต่งงาน
ว่ากันว่าการแต่งงานของคนไทยสมัยก่อนล้วนแต่เป็นการแต่งงานแบบรักกันหนาพากันหนีทั้งนั้น ทำกันจนเป็นธรรมเนียม อยากแต่งกับใครก็อะจึ๊กอะจั๊กกันจนท้อง จะได้มีข้ออ้างที่จะเป็นผัวเป็นเมียกันแบบไม่มากเรื่องมากความ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ต้องทำเป็นโกรธๆ เพื่อเรียกค่าเสียหายสักหน่อย ให้ดูสวยๆ ดูว่าเป็นฝ่ายถูกปู้ยี่ปู้ยำ
เพราะฉะนั้นการมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์จึงมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมมากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรมหรือความวิปริตวิตถาร อย่างน้อยที่สุดก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของการออกแบบบ้าน การจัดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน และพัฒนาการของมัน และเราก็ได้เห็นแล้วว่าในยุคหนึ่ง เซ็กซ์เอาต์ดอร์เป็นเรื่องจำเป็น เพราะไม่มีพื้นที่ในบ้านให้มีเซ็กซ์โดยสงบและปราศจากการรบกวน
เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องกลับตาลปัตรกับที่เราเข้าใจกันในสมัยนี้ (เนื่องจากเราเกิดมาในยุคที่มีคอนเซปต์เรื่องพื้นที่ส่วนตัว มีการสอนกันใหม่ว่าเด็กต้องถูกแยกห้องนอน แยกเตียงกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็กมากๆ เพราะสำหรับมนุษย์สมัยใหม่ ไม่มีอะไรจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเท่ากับเรื่อง ‘พื้นที่ส่วนตัว’ อีกต่อไปแล้ว)
ที่คิดว่าเซ็กซ์ในบ้านคือความลับตา คือความสำรวมกิริยา คือความไม่กระทำอนาจารให้ผู้อื่นเห็น ตรงกันข้าม ในยุคที่คนอยู่ในบ้านที่เน้นการเปิดโล่งและพื้นที่ใช้สอยร่วมกัน เซ็กซ์ที่เกิดขึ้นในบ้านต่างหากคือเซ็กซ์ที่เสี่ยงจะกลายเป็นการกระทำอนาจารให้ผู้อื่นเห็นโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเซ็กซ์ที่ไพรเวตที่สุดคือเซ็กซ์ที่ไปทำนอกบ้านที่สถานที่อันลับตาคน
จนเมื่อการเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ของเรามาพร้อมกับการจัดระเบียบเซ็กซ์ ตั้งแต่เซ็กซ์ที่ถูกต้องคือเซ็กซ์ระหว่างหญิง-ชาย, ผัว-เมีย ไปจนถึงการบอกว่าเซ็กซ์ที่มีคุณค่ามีศีลธรรมคือเซ็กซ์เพื่อการมีลูก บางสังคมยังลงไปในรายละเอียดว่า เซ็กซ์ที่ดีต้องไม่มีการทำออรัล ต้องไม่ใช่เซ็กซ์ทางทวารหนัก ต้องไม่โลดโผนโจนทะยาน ต้องไม่ทำบนพื้น ต้องทำในเวลากลางคืนเท่านั้น เรื่อยไปจนถึงการบอกว่าเซ็กซ์ที่ดี เซ็กซ์ที่ปกติ คือเซ็กซ์ที่ทำในห้องหับที่มิดชิด เป็นส่วนตัว และในทุกกิจกรรมบนโลกใบนี้ หากจะมีกิจกรรมไหนที่เราพึงทำโดยระวังที่สุด ไม่ให้คนเห็น ก็คือกิจกรรมตอนเรามีเซ็กซ์กันนั่นเอง (ด้วยเหตุดังนั้นพวกคลิปหลุดมันจึงดูเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องหมดอนาคตเอามากๆ)
เมื่อเซ็กซ์ถูกทำให้เป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องส่วนตัว เรื่องไม่ควรพูด เรื่องไม่พึงเปิดเผย เป็นเรื่องสกปรก เป็นเรื่องน่าอาย เป็นเรื่องที่เราต้องแสร้งทำราวกับว่าไม่มีการจ้ำจี้อยู่บนโลกใบนี้ และตัวเราก็ไม่เคยทำ ไอ้ที่เกิดๆ ลูกออกมาเป็นแค่ Birds and Bees จุ๊กๆจิ๊กๆ ทำนิดๆ หน่อยๆ แค่พอมีลูกไม่เกี่ยวกับความอยากความเสี้ยนใดๆ ในอีกทางหนึ่ง เซ็กซ์จึงเหมือนการแอบกินขนมหลังห้อง และแอบไม่ให้ครูเห็น ยิ่งลักลอบ ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งสนุก
กลุ่มคนที่เที่ยวออกไปมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์จึงมีทั้งคนที่ชอบความตื่นเต้น รู้สึกฟินกับความเสี่ยงที่อาจมีคนมาเห็น รู้สึกฟินกับความท้าทายที่ได้ทำอะไรแหกกฎ มีทั้งกลุ่มที่เรียกว่า exhibitionist คือพวกชอบโชว์ ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง อยากเป็นที่สนใจของผู้คน ในโลกโซเชียลมีเดียที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมันอยู่ทุกวันนี้ เราก็จะเห็นว่ามันกลายเป็นพื้นที่ให้คนที่เป็น exhibitionist ได้มาโชว์กันเยอะแยะหลากหลาย ทั้งโชว์ตรงๆ โชว์อ้อมๆ ซึ่งอาจจะทำให้การเที่ยวออกไปโชว์ ‘ของสด’ กลางแจ้งค่อยๆ ลดความจำเป็นลงก็เป็นได้
กลุ่มคนที่เป็น exhibitionists นั้นถือว่าเป็นรสนิยม และยังถกเถียงกันได้อีกว่าจะถือเป็นโรคจิตหรือไม่เป็น เพราะฉะนั้นการออกกฎหมาย การห้าม การปรับ การจับ จึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อย่างมากก็แค่ทำให้การโชว์ของพวกเขาทำได้ยากขึ้นอีกเล็กน้อย
แต่เราคงใช้กฎหมายไปสั่งให้คนเลิกเป็น exhibitionists ไม่ได้ กฎหมายช่วยได้แค่ ไม่ให้ exhibitionists เหล่านั้นไปรบกวนชีวิตประจำวันของผู้อื่นมากเกินไปเท่านั้น
ส่วนกลุ่มที่ชอบไปเซ็กซ์เอาต์ดอร์เพื่อความตื่นเต้น เร้าใจ และยิ่งเสี่ยงต่อการถูกจับได้ ถูกพบเห็นก็ยิ่งฟินมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนกลุ่มนี้ กฎหมาย ข้อห้ามต่างๆ คือปัจจัยของความตื่นเต้น ยิ่งออกกฎหมายมาก พวกเขายิ่งอยากทำ ดังนั้น ‘กฎ’ ที่ออกมาจึงไม่ช่วยอะไร นอกจากช่วยให้พวกเขา ‘ฟิน’ มากขึ้น
ทีนี้ยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่กลุ่มคนที่ฟินเพราะความเสี่ยงต่อการถูกเห็น หรือกลุ่มที่ฟินเพราะชอบให้คนมาเห็น คือกลุ่มที่คล้ายๆ กับคนในยุคที่บ้านไม่มี ‘ห้องส่วนตัว’ นั่นคือการมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์เป็น ‘ความจำเป็น’
ความจำเป็นนี้มีตั้งแต่กลุ่มผู้ค้าบริการทางเพศ ‘ตลาดล่าง’ การผ่อนคลายกำหนัดของผู้มีรายได้น้อยกับผู้ให้บริการราคามิตรภาพนั้น การไปใช้บริการห้องของโรงแรมม่านรูดจึงเป็นสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ทั้งยังเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะเวลาที่ใช้ประกอบกิจกรรมอาจจะไม่เกิน 20 นาที จะคุ้มอะไรกับการนั่งรถไปโรงแรมครึ่งชั่วโมง กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะแต่งตัว
อุตสาหกรรมคลายกำหนัดแบบด่วน กระชับ กะทัดรัด ย่อมเยานี้จึงต้องอาศัยซอกหลืบต่างๆ ในเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง สิ่งที่เราเรียกว่า ‘มุมมืด’ ของเมืองนั้นสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในเมืองเดียวกับเราอาจจะไม่ใช่ ‘มุมมืด’ แต่เป็น ‘สวนสวรรค์อันลี้ลับ’ ไปจนกระทั่งเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ของพวกเขาก็เป็นได้
ความจำเป็นของคนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่มีเซ็กซ์ ‘ต้องห้าม’ เช่น
- เซ็กซ์ของเด็กนักเรียนหรือของหนุ่มสาวที่ไม่มีที่อยู่อาศัยอันพอจะมีพื้นที่ส่วนตัวให้ประกอบกิจกรรมทางเพศได้อย่างเหมาะสมที่บ้านของตนเอง
- เซ็กซ์ของเกย์ชายที่ต้องแอ๊บแมนไม่ให้โลกรู้
- เซ็กซ์ซ่อนชู้ในทุกลักษณะ
- casual sex ของกลุ่มคนที่นิยมการ cruising แบบลาดตระเวนเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าได้ก็ได้ ถ้าใช่ก็สบตา ส่งสัญญาณที่รู้กัน ‘ทำ’ เสร็จก็แยกทาง ไม่ต้องรู้ชื่อ ไม่ต้องจำหน้า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ถ้าเราพินิจความจำเป็นเหล่านี้ เราจะเข้าใจว่าการห้ามไม่ให้คนมามีเซ็กซ์กันในสวน ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ และคงไม่มีสังคมไหนในโลกนี้ที่ไม่มีกิจกรรมทางเพศกันในสวน
ทั้งนี้แต่ละสังคมก็จัดการกับเรื่องนี้ต่างๆ กันออกไป เช่น
- มีก็ไม่เป็นไร แค่ดูแลเรื่องความสะอาดปลอดภัยให้กับทุกคนที่เข้าไปแชร์พื้นที่สาธารณะเหล่านั้นร่วมกัน และระวังที่จะไม่ไปละเมิดกิจกรรมของกันและกัน ไม่ล้ำเส้น เช่น ถ้ามีคู่รักไปจ้ำจี้กันในจุดที่มีลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมด อันนั้นก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพการใช้พื้นที่ของผู้อื่น มีความผิดเท่าๆ กับคนที่ไปเปิดเพลงออกลำโพงดังๆ ในสวน ในขณะที่คนอื่นเขานั่งชมธรรมชาติกันเงียบๆ นั่นแหละ
- อนุญาตให้มีเซ็กซ์และอื่นๆ ได้ในบางสวน บางเวลา กำหนดไปเลยว่าทำได้ภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้างจึงไม่ผิดกฎหมาย อันนี้เชื่อว่าเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่มีความจำเป็นต้องมีเซ็กซ์นอกบ้านอย่างที่ได้แจกแจงไปข้างต้น หรืออย่างน้อยก็มองว่าการพลอดรักในสวนท่ามกลางธรรมชาตินั้นก็เป็นความรื่นรมย์ เป็นสุนทรียะอย่างหนึ่งที่มนุษย์พึงมีได้ตามความเหมาะสม
เซ็กซ์ในสวนนั้น สิ่งที่ต้องทำง่ายมากคือมองเซ็กซ์เหมือนกิจกรรมอื่นๆ ที่คนออกมาทำกันในที่สาธารณะ นั่นคือไม่ทำให้พื้นที่นั้นสกปรก ไม่ทิ้งขยะ ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น และในซอกหลืบมุมมืด ‘รัฐ’ ไม่ได้มีหน้าที่ไปจับคนซั่มกัน แต่มีหน้าที่ทำให้พื้นที่ต่างๆ เหล่านั้นปลอดภัย และมีบริการโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม เช่น ห้องน้ำ ก๊อกน้ำ ถังขยะ แสงสว่างที่เหมาะสม
น่าสนใจว่าสังคมไทยไม่ได้มองกิจกรรมเซ็กซ์ในสวนในมิติของเมือง สถาปัตยกรรม ความหลากหลายของกลุ่มประชากรในเมืองกับความจำเป็นและฟังก์ชันของพื้นที่สาธารณะของเมือง เพื่อจัดการพื้นสาธารณะอย่างมีหัวจิตหัวใจ คิดเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับประชากรในเมืองที่มีทั้งคน ‘มี’ และคน ‘ขาด’
หนักว่านั้นเรายังมีวิธีการแก้ปัญหาแบบไม่ยอมรับความจริง ชอบทำตัวเป็นพวก in denial คือละล่ำละลักออกมาก่อนว่าไม่มี ไม่จริง หากจำนนด้วยหลักฐานว่ามันมีจริงๆ สิ่งเดียวที่คิดได้คือต้องกวาดล้าง ต้องห้าม ต้องหยุด ใช้กฎหมายจัดการ ใช้อำนาจของราชการไปจัดระเบียบ ซึ่งก็รู้กันอีกว่าแสดงท่าขึงขังกันไปอย่างนั้นเองในช่วงที่เป็นข่าว ลึกๆ ก็รู้ว่าทำไม่ได้และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ
แต่ดันไม่รู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ
สังคมไทยหยุดหลอกตัวเองได้เมื่อไร เมื่อนั้นแหละที่สมองถึงจะเริ่มทำงาน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
Kohei Yoshiyuki ช่างภาพคนญี่ปุ่น ซึ่งมีผลงานแสดงภาพถ่ายอันเป็นที่ฮือฮามากในโลกนี้คือ การแสดงภาพถ่ายที่เขาซุ่มถ่ายคู่รักที่ไปมีเซ็กซ์กันในสวนที่ฮาราจูกุในช่วงปี 1971-1973 ภายใต้งานที่ชื่อ ‘โคเอน’ หรือ The Park
ซึ่งเขาบอกว่าการมีเซ็กซ์ในสวนสาธารณะนั้นมีกลุ่มคนที่เป็นองค์ประกอบของกิจกรรมนี้อยู่ 3 กลุ่มด้วยกันคือ คู่รัก กลุ่มคนที่ไปถ้ำมอง และหัวขโมย
ในภาพถ่ายของเขาจำนวนมากไปแอบถ่ายกลุ่มคนที่ไปซุ่มมองกิจกรรมทางเพศของคู่รักอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นล่ำเป็นสัน และกลางความเพลิดเพลินนี้เองจะเป็นช่วงที่หัวขโมยทั้งหลายฉวยโอกาสมาปล้นบ้าง มาฉกเอากระเป๋าสตางค์ไปบ้าง ทั้งในขณะที่คู่รักกำลังประกอบกิจกรรม ทั้งในขณะที่กลุ่มถ้ำมองกำลังช่วยตัวเอง และหลายครั้งกลุ่มคนถ้ำมองก็จะเห็นขโมยที่กำลังจะไปขโมยทรัพย์สินของคู่รักเหล่านั้นและสามารถเข้าไปช่วยไว้ได้ทันท่วงทีก็มีเช่นกัน
เขาให้ความเห็นไว้น่าสนใจว่า กิจกรรมเซ็กซ์ในสวนสาธารณะน้อยลงมากหลังทศวรรษที่ 90s เมื่ออุตสาหกรรมหนังโป๊เจริญเติบโตและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสังคมเปลี่ยนไปสู่การสอดส่องศีลธรรมของกันและกันมากขึ้นจนนำไปสู่ความ ‘ขี้ขลาด’ มากขึ้นของคนสมัยนี้ที่กล้าทำอะไรแหกขนบน้อยลง
ดูหนังสือของเขาได้ที่ www.amazon.com/Park-Kohei-Yoshiyuki/dp/3775720855