นับเป็นเวลา 8 ปีเต็มที่ทีมฟุตบอลชายไทยห่างหายจากคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ทำให้ซีเกมส์ครั้งนี้ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญที่ทัพช้างศึกจูเนียร์จะต้องพิสูจน์ฝีเท้าหากจะหวังจะกลับมาเป็นเจ้าอาเซียนอีกครั้ง
ท่ามกลางความคาดหวังจากแฟนบอลชาวไทย ทำให้นี่คือภารกิจแห่งศักดิ์ศรีที่ต้องนำความสำเร็จกลับมาให้ได้ ภายใต้ความกดดันที่หนักอึ้ง THE STANDARD SPORT ได้มีโอกาสพูดคุยกับ โค้ชวัง-ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ถึงการเตรียมทีมและเป้าหมายในซีเกมส์ครั้งนี้ ที่หวังจะลบฝันร้ายที่หลอกหลอนฟุตบอลชายไทยในซีเกมส์มาตลอด 8 ปีเต็มให้สำเร็จ
คุมทัพเพื่อเป็นแชมป์
การที่โค้ชวังเข้ามารับหน้าที่กุนซือนำทัพช้างศึกยู-23 ลุยซีเกมส์หนนี้ แน่นอนว่าเป็นการเข้ามาเตรียมทีมที่ค่อนข้างเผชิญกับแรงกดดันพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการแบกความหวังในการคว้าแชมป์หรือประสบปัญหาการเตรียมทีมฝึกซ้อม แต่อดีตทีมชาติไทยชุดดรีมทีมคนนี้มองว่าเป็นความท้าทายที่จะพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้เพื่อกู้แรงศรัทธาจากแฟนบอล
“ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่ ผมก็ได้ติดตามผลงานของนักฟุตบอลแต่ละคนที่อายุไม่เกิน 23 ปี ถือว่าชุดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุด แต่ว่าในช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่นักเตะยังลงทำการแข่งขันกับทางสโมสร เราก็จะใช้วิธีการโรเทชันนักเตะ หากนักเตะคนไหนไม่มีโปรแกรมกับทางสโมสรเราก็เรียกตัวให้มาซ้อมกับทีมชาติก่อน”
“ถามว่าเป็นปัญหาหรือไม่ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่านักเตะหลายๆ คนยังมีโปรแกรมแข่งขัน แต่ก่อนหน้านี้เราได้มีการเก็บตัวมาแล้ว 3-4 แคมป์ ฉะนั้นในเรื่องของการเตรียมตัวเรามองว่ามีความพร้อมในเรื่องของแท็กติกต่างๆ จะเป็นห่วงอยู่เรื่องเดียวคือสภาพร่างกายของนักเตะมากกว่า”
ถึงแม้จะมีเวลาในการเข้าแคมป์เก็บตัวที่ไม่ตรงกัน แต่อย่างไรก็ตามโค้ชวังมองเห็นถึงศักยภาพของนักเตะและเชื่อว่าจะสามารถเล่นเป็นทีมร่วมกันได้
เน้นการสร้างสปิริตภายในทีม
การคัดเลือกนักเตะชุดซีเกมส์ครั้งนี้ โค้ชวังบอกว่าเป็นการผสมผสานนักเตะมากไปด้วยประสบการณ์ ในขณะที่บางคนอาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้พิสูจน์ฝีเท้า พร้อมกับย้ำว่ารูปแบบการเล่นจะเน้นทีมเวิร์กเป็นสำคัญ
“เราต้องบอกว่า ถ้านักเตะอายุน้อยแต่มีความแข็งแรง เทคนิคดี มีความสามารถ แต่อาจจะขาดในเรื่องของประสบการณ์ที่เคยเล่นในระดับฟุตบอลขาสั้น ยังไม่เคยผ่านลีกอาชีพ ซึ่งผมมองว่าก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปและในซีเกมส์ครั้งนี้ก็อาจสอดแทรกขึ้นมาได้”
“ส่วนสไตล์การทำทีมหากติดตามสไตล์การเล่นของนักเตะชุดนี้ที่ผ่านมาก็จะพบว่า สไตล์การเล่นนั้นก็เต็มไปด้วยสปิริต การเพรสซิง ซึ่งผมอยากจะทำให้นักเตะทุกคนเล่นฟุตบอลด้วยความมุ่งมั่น”
ทั้งนี้ทั้งนั้น โค้ชวังบอกว่า ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้ทีมฟุตบอลชายไทยมีความพร้อมมากที่สุด ซึ่งอาจจะรู้ว่าปัญหายังมีอยู่ เช่น เวลาหรือโปรแกรมการแข่งขัน ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องมองไปที่เรื่องของการดูแลตัวเอง ความมีวินัยและเรื่องของการสร้างสปิริต เพราะไม่ต้องการสร้างแรงกดดันให้กับนักเตะในทีม
“เป้าหมายเดียวของฟุตบอลชายในซีเกมส์คือเหรียญทอง แน่นอนว่าความกดดันมันอาจจะเยอะขึ้น แฟนบอลก็มีความคาดหวังที่จะได้เห็นเหรียญทองหลังจากที่ห่างหายไปกว่า 8 ปี เราก็ต้องการที่จะคว้ามันมาให้ได้อีกครั้ง”
ซีเกมส์แรกของ เหนือ-ธนกฤต ที่ต้องแบกอายุลงเล่น
แฟนบอลชาวไทยคงคุ้นชื่อของเจ้าเหนือ-ธนกฤต โชติเมืองปัก กันเป็นอย่างดีว่านี่คือนักเตะเยาวชนที่น่าจับตามองคนหนึ่งของวงการ จากการโลดแล่นในเวทีระดับฟุตบอลนักเรียนไปจนถึง AFC Champions League กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดมาแล้ว แต่ประสบการณ์ในซีเกมส์นี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้สัมผัส
“ผมเล่นบอลมาตั้งแต่ 4 ขวบ โดยที่มีคุณพ่อเป็นต้นแบบ จากนั้นก็มีโอกาสได้เข้ามาคัดตัวอยู่ที่สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เริ่มจากตำแหน่งริมเส้นเพราะจุดเด่นของผมคือความเร็ว ความคล่องตัว จากนั้นก็ขยับมาเป็นกลางรุกซึ่งผมก็พยายามศึกษาการเล่นจากพี่ๆ ในทีม”
ปัจจุบันเหนือมีอายุ 19 ปีบริบูรณ์นั่นจึงทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะไทยไม่กี่คนที่ต้องแบกอายุลงเล่น แต่ด้วยประสบการณ์และได้รับการถ่ายทอดทักษะฟุตบอลจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทำให้เหนือพร้อมที่จะลงสนามสู้ศึกซีเกมส์ในบ้านครั้งนี้
“คำพูดที่บอกตัวเองเสมอคือ ต้องทำให้ได้วันนี้ต้องเป็นของเรา สำหรับเป้าหมายในซีเกมส์ต้องเหรียญทองเท่านั้นหลังจากครั้งที่แล้วเราทำได้แค่อันดับ 2 เป้าหมายสูงสุดในการเล่นฟุตบอล ผมอยากไปเล่นลีกต่างประเทศ ก็ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อไปเล่นลีกยุโรปหรืออย่างน้อยก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น”
ด้วยความมุ่งมั่นของโค้ชที่ต้องการทวงคืนเกียรติยศ ผสานกับไฟในตัวของนักเตะอย่างเจ้าเหนือที่พร้อมแบกอายุลงสู้เพื่อคำว่าแชมป์
นาทีนี้ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย U23 เหลือเพียงเป้าหมายเดียวที่ต้องทำให้สำเร็จ คือการเปลี่ยนความคาดหวังของคนทั้งชาติให้กลายเป็นความจริง แล้วสลัดคำว่าความล้มเหลวทิ้งไปจากหน้าประวัติศาสตร์ซีเกมส์
คู่ปรับซีเกมส์
ช้างศึกจูเนียร์ยังคงตามหาความสำเร็จ หลังพลาดคว้าแชมป์ซีเกมส์มา 3 ครั้งติดต่อกัน และไม่ได้สัมผัสเหรียญทองมายาวนานถึง 8 ปี โดยครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปในปี 2017 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ นับเป็นช่วงเวลาที่ห่างหายจากตำแหน่งแชมป์นานที่สุด เทียบเท่าช่วงปี 1985-1993 เลยทีเดียว
ความน่าผิดหวังจากการได้เพียงรองแชมป์ 2 ครั้งล่าสุด ตอกย้ำถึงความกดดันในการทวงคืนความสำเร็จ โดยมีคู่แข่งคนสำคัญอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่พร้อมจะช่วงชิงเหรียญทอง
เวียดนาม ดีกรีแชมป์ 2 สมัย (2019, 2022) เป็นทีมเต็งที่น่าจับตา แม้จะคว้าอันดับ 3 ในซีเกมส์ 2023 แต่ซีเกมส์หนนี้พวกเขากลับมาพร้อมความแข็งแกร่ง จากผลงานล่าสุดของทีมชุด U23 ถือว่าโดดเด่นอย่างยิ่ง คว้าแชมป์อาเซียน 2025 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังสามารถผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกชิงแชมป์เอเชีย 2024 ได้อีกด้วย
อินโดนีเซีย แชมป์เก่าและแชมป์ 3 สมัย (1987, 1991, 2023) เป็นอีกหนึ่งคู่แข่งตัวฉกาจของไทย พวกเขามีผลงานที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการคว้าอันดับ 4 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย 2024 และล่าสุดยังจบตำแหน่งรองแชมป์อาเซียน 2025 ในฐานะเจ้าภาพ
ฟุตบอลแข่งที่ไหน ชิงกี่เหรียญทอง
ฟุตบอล ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ชิง 2 เหรียญทองจากทีมชายและทีมหญิง แข่งขันระหว่างวันที่ 3-19 ธันวาคม โดยแบ่งออกเป็น 4 สนาม ประกอบด้วย สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน, สนามกีฬา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี, สนามกีฬากลางจังหวัดชลบุรี (ชลบุรี สเตเดียม) และ สนามฟุตบอล 1 สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี
สำหรับรายชื่อนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ทั้งหมด 23 คน ดังนี้
ผู้รักษาประตู : ณรงศักดิ์ เนื่องวงษา, ชมพัฒน์ บุญเลิศ, ศรวัสย์ โพธิ์สมัน
กองหลัง : ภัทรพล ศึกษากิจ, พลเอก มณีกร, อรรถพล แสงทอง, ชนภัช บัวพันธ์, พิชิตชัย เศียรกระโทก, วิชั่น อินอร่าม, วาริส ชูทอง, ชานนท์ ทำมา
กองกลาง : ชัยพล อดทน, สิทธา บุญหล้า, ยศกร นาถสิทธิ์, คคนะ คำยก, ธนกฤต โชติเมืองปัก, เสกสรรค์ ราตรี
กองหน้า : สิรภพ วันดี, ชวัลวิทย์ แซ่เล้า, อิคลาส สันหรน, ธนาวุฒิ โพธิ์ชัย, ยศกร บูรพา และ ชินเงิน ภู่ต้นหยง
ส่วนผลงานของทีมฟุตบอลไทยในซีเกมส์ 2023 ที่กัมพูชา ทำได้ 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง ส่วนซีเกมส์นี้หวังคว้า 2 เหรียญทองให้ทั้งทีมชายและทีมหญิง
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าภาพไปด้วยกัน ด้วยการติด Hashtag #เชียร์ไทยในบ้านเรา #SEAGAMES2025 #ซีเกมส์
