×

จับทิศคลื่นลมเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกปี 2026

28.11.2025
  • LOADING...
จับทิศ คลื่นลมเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกปี 2026

ช่วงท้ายของทุกปี นักกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลกเปรียบเสมือนกัปตันที่ยืนอยู่บนสะพานเดินเรือ มองไปยังขอบฟ้าเพื่อประเมินสภาพทะเลที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือในปีข้างหน้า

 

หลังจากผ่านคลื่นลมน้อยใหญ่ ตั้งแต่วิกฤต Covid-19 เงินเฟ้อพุ่งสูง ดอกเบี้ยนโยบายพลิกเป็นขาขึ้น สงครามยูเครน-รัสเซีย การกลับมาเป็นประธานาธิบดีของ Trump วันปลดแอกสหรัฐ และสงครามเทคโนโลยี

 

เข้าสู่ปี 2026 ตลาดการเงินโลกเดินทางมาถึงจุดที่คลื่นลมมีท่าทีสงบลงอย่างน่าประหลาด เป็นคำถามที่เราต้องหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุการณ์นี้คือฟ้าหลังฝนที่แท้จริง หรือแค่เป็นช่วงพักก่อนพายุฝนรอบใหญ่กันแน่

 

เริ่มด้วยการวิเคราะห์ธีมปี 2025 ที่ผ่านมา พบว่าลมส่งใหม่กำลังก่อตัว

 

ตลาดหุ้นโลก (WORLD Index) ปรับตัวขึ้น 18% ในรูปดอลลาร์ และราว 11.4% ในรูปเงินบาท ภายใต้ตลาดหุ้นขาขึ้นนี้ หุ้น Global Semiconductors บวกแรงตามคาดกว่า 44% สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุด คือหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ทะยานขึ้นกว่า 50% พร้อมกับกลุ่มการเงินยุโรปที่บวกดีเยี่ยมถึง 47% ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ติดลบกว่า 11% หุ้นไทยร่วง 10% พร้อมกับหุ้นกลุ่มพลังงานและบริการสุขภาพ

 

สัญญาณทั้งหมดสะท้อนว่าลมส่งเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Cyclicals มีอิทธิพลชัดเจน แต่คลื่นของเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) อ่อนกำลังลง และกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ต้องจับตาในอนาคต

 

เมื่อลมส่งพัดแรง ตลาดก็มีโอกาสเดินหน้าต่อไม่ยาก ปี 2026 มีเรื่องราวที่ตลาดมองเห็นไปในทางเดียวกัน มีโอกาสเกิดขึ้นสูง 3 เรื่อง

 

(1) การเติบโตที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง

 

นักวิเคราะห์ในตลาดเห็นตรงกันว่าการเติบโตปี 2026 มีโอกาสจะขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น เหตุผลสำคัญคือเศรษฐกิจหลักเริ่มได้อานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI การลงทุนใน Data Center ที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2025

 

ภาคการผลิต การขนส่ง บริการสุขภาพ และหุ้นขนาดเล็ก มีโอกาสใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพจริงในปี 2026 ผลลัพธ์คือกำไรบริษัทนอกกลุ่ม Big Tech จะเติบโตเร็ว ลดความเสี่ยงการกระจุกตัวที่สร้างความกังวลในตลาดก่อนหน้านี้

 

(2) นโยบายการเงินเข้าสู่ช่วงผ่อนคลาย

 

การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยเพียง 50bps ในปี 2025 ทั้งที่เงินเฟ้อเริ่มทรงตัว และตลาดแรงงานอ่อนแอ ทำให้โอกาสของการลดดอกเบี้ยในปี 2026 เปิดกว้าง

 

ตลาดคาดว่า Fed Funds Rate จะลดลง 100bps สู่ระดับ 3.0% ในปีหน้า
ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย 25bps ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปี ต่อให้เป็นธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยจากระดับต่ำเพียง 0.5% ในปัจจุบัน ก็อาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง 50bps

 

การผ่อนคลายทางการเงินเหล่านี้ ทำให้ต้นทุนเงินทุนลดลง ผ่อนภาระของภาคธุรกิจ เปิดโอกาสให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง

 

(3) ยุโรป ญี่ปุ่น น่าจับตาจากการกระตุ้นทางการคลัง

 

ยุโรปและญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นตลาดที่จะรับลมหนุนต่อจากสหรัฐฯ ในปี 2026 เพราะทั้งสองประเทศกำลังก้าวเข้าสู่รอบกระตุ้นการคลังครั้งใหม่

 

นักวิเคราะห์เชื่อว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษจากรัฐบาลทั้งสองประเทศ จะช่วยยกฐานการเติบโตระยะยาว และลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้างด้านความมั่นคง

 

ในขณะเดียวกันการอ่อนค่าของดอลลาร์ จะผลักดันให้กระแสเงินทุนเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุโรปและญี่ปุ่นไม่ยาก เพราะมูลค่าตลาดหุ้น (P/E จากกำไรในอีก 12เดือนข้างหน้า) ที่เริ่มต้นเพียง 15เท่าและ 17เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (P/E 23เท่า) ประมาณ 25-35%

 

เมื่อรู้จักลมส่งแล้ว ก็ต้องรู้จักเรื่องราวที่ตลาดมีความเห็นขัดแย้งกัน อาจสร้างความผันผวนไม่ต่างกับบรรดาคลื่นใต้น้ำที่กำลังปะทะกันอยู่

 

(1) ฟองสบู่ AI

 

ความเห็นเรื่องฟองสบู่ AI แตกเป็นสองขั้ว

 

ฝ่ายสนับสนุน (ฟองสบู่ไม่แตก) มองว่าแรงลงทุน AI รอบนี้ต่างจากยุค Dotcomเพราะรายได้จริงเกิดขึ้นแล้วจาก Hyperscalers, Cloud Providers และบริษัทChip ขณะที่การใช้งาน AI กำลังขยายตัวไปสู่ธุรกิจทั่วไป

 

แต่ฝ่ายคัดค้าน (เสี่ยงฟองสบู่แตก) มองว่ามูลค่าของตลาดสูงเกินไป นอกจากนั้นระดับการลงทุน AI คิดเป็น 2-5% GDP ใกล้ยุคปี 2000 แต่กำไรในเศรษฐกิจจริงกลับไม่เกิดขึ้น หากการประยุกต์ใช้เร่งตัวไม่เร็วเท่า Internet ใน 1–2 ปีข้างหน้า มีโอกาสเห็นฟองสบู่ AI แตกในไม่ช้า

 

(2) เงินเฟ้อดีดตัวกลับ

 

กลุ่มที่เชื่อว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น ให้เหตุผลว่าค่าแรงไม่ลดลงเพราะมีทั้งการขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม ภาษีการค้าใหม่ของสหรัฐฯ (tariffs) ที่จะมีผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้าชัดเจนในปี 2026 ขณะที่ราคาสาธารณูปโภคอาจกลับมาผันผวน เพราะ AI ต้องใช้พลังงานมาก ทำให้ราคาค่าไฟ และต้นทุนบริการมีโอกาสเร่งตัว

 

ขณะที่กลุ่มสนับสนุนเงินเฟ้อต่ำ มองว่าการใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด หนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่ราคาอสังหาฯ ปรับตัวขึ้นยากเพราะดอกเบี้ยทรงอยู่ในระดับสูงกว่าอดีต

 

(3) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง

 

การเมืองเป็นประเด็นที่คาดเดาได้ยากที่สุด

 

ฝ่ายที่มองว่าความเสี่ยงการเมืองจะรุนแรงให้เหตุผลว่า โลกกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุค fragmentation การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ–จีน จะยิ่งเข้มข้น เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานจะเปลี่ยนแปลงถาวร นอกจากนี้ก็มีความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป เลือกตั้ง Midterm ในสหรัฐฯ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาด คล้ายปี 2018 หรือ 2022

 

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์อีกฝั่งหนึ่งกลับชี้ให้มองปี 2025 เป็นตัวอย่าง ว่าตลาด ปรับตัวต่อเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ได้เสมอ เช่น ราคาน้ำมันไม่พุ่งแรงแม้มีเหตุปะทะในตะวันออกกลาง ขณะที่หลายประเทศ ก็มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระยะยาว ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงจำกัดกว่าที่หลายคนกังวล

 

สรุปกลยุทธ์ลงทุนปี 2026 เดินหน้าอย่างมีสมดุล

 

เมื่อดูทิศทางคลื่นลมแล้ว ผมมองว่าธีมเด่นที่เข้ากับปี 2026 มี 4 กลุ่มหลักประกอบด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น Developed Markets นอกสหรัฐฯ หุ้นธีม AI Infrastructure และสาธารณูปโภค หุ้น Healthcare ได้เวลากลับตัว และหุ้นผันผวนต่ำ (Min Vol) เหมาะสำหรับปีที่ยังมีคลื่นใต้น้ำ ทั้งฟองสบู่ AI เงินเฟ้อ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

 

ในมุมมองของผม ปี 2026 เป็นปีที่ลมไม่เปลี่ยนทิศ และยังคงเป็นปีฟ้าหลังฝนที่ลงทุนได้ แค่ต้องระวังว่าคลื่นใต้น้ำไม่หายไปไหน

 

กลยุทธ์การลงทุนปี 2026 จึงไม่ใช่การคาดเดาเหตุการณ์ให้ถูกทั้งหมด แต่เป็นปีที่นักลงทุน ต้องเตรียมกลยุทธ์ปรับพอร์ตให้พร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันให้ได้มากที่สุด

 

และเมื่อพอร์ตพร้อมแล้ว ที่เหลือคือการติดตาม และลุ้นไปกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินตลอด 12 เดือนข้างหน้านี้ไปด้วยกันครับ

 

ภาพ: Muhammad Farhad/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising