×

ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ

23.11.2025
  • LOADING...
ผู้ว่าแบงก์ชาติ ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่ เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ

ผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากปัจจุบัน หากเห็นว่ามีความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ชี้ดอกเบี้ยยังมีมุมให้ลดได้

 

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.พร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากปัจจุบัน หากเห็นว่ามีความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการตัดสินใจดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่กำลังจะทยอยออกมา

 

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นประเด็นที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่เรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ไปจนถึงปัญหาด้านสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)

 

ผู้ว่าการ ธปท. ระบุต่อว่า การลดอัตราดอกเบี้ยมีผลจำกัดอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้

 

อย่างไรก็ดีแม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะไม่สามารถแก้ปัญหารากฐานทางโครงสร้างได้ แต่ก็ยังมีผลดีในด้านการบรรเทาผลกระทบระยะสั้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยทำให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนคลายในเรื่องสภาพคล่อง ช่วยผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงิน และทำให้ประชาชนสามารถจ่ายหนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลง

 

ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจเพื่อดูความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ย

 

“ถามว่าลดดอกเบี้ยได้ไหมก็กำลังดูข้อมูลอยู่ ก็คิดว่ายังมีช่องทางหรือมุมให้ดอกเบี้ยจะลดลงต่อได้” วิทัยกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามถึงระดับอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (Terminal rate) ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ในขณะนี้ เนื่องจาก Terminal rate นั้นจะต้องพิจารณาหารือกันอย่างพอสมควร และขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นเป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งที่ 6 ในวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นประชุมนัดสุดท้ายในปีนี้โดยปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50%

 

ค่าเงินบาทต้องเหมาะสมหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

วิทัยยังระบุว่า ธปท.ต้องการเห็นค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสะท้อนสภาวะที่เหมาะสมและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัด

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2568 ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าราว 7% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้านค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 5% โดยนอกจากเป็นผลของเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าแล้ว ยังมีปัจจัยเฉพาะ ได้แก่
1. Current account ที่สูงกว่าคาดตั้งแต่ไตรมาส 1 จากการส่งออกที่เติบโตได้ดี

 

2. เงินลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งการเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตร และการลงทุนโดยตรง (FDI)

 

3. การซื้อขายทองคำของคนไทย ผ่าน online platformโดยเฉพาะในปีนี้ ที่ราคาทองคำปรับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อราคาทองสูงขึ้น ลูกค้ามักจะขายทองในสกุลเงินบาทกับร้านทอง ร้านทองจึงต้องไปขายทองคำกับคู่ค้าในต่างประเทศ พร้อมกับทำธุรกรรม FX เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านการแข็งค่าของเงินบาท

 

อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทสอดคล้องกับหลายสกุลเงิน EM โดยมีบางประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่าจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เวียดนาม ที่ผู้ส่งออกบางส่วนไม่ convert รายได้จากดอลลาร์เป็นเงินดอง และมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น

 

ขณะที่ สหรัฐฯ มีการประเมินการดูแลค่าเงินของประเทศคู่ค้าคู่แข่งรวมถึงไทย เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศต่างๆ จะไม่ดูแลค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ดูแลความผันผวนของค่าเงินเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาของ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury) ในช่วง 12 เดือน ที่อาจเข้าข่ายเป็น Currency Manipulator ประกอบด้วย 3 ข้อ ได้แก่

 

  • เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์
  • เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ของ GDP
  • เข้าซื้อ FX มากกว่า 2% ของ GDP ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

 

ดังนั้นปัจจุบันด้วยภายใต้ข้อจำกัดนี้ สิ่งที่ ธปท. ทำได้คือ การลดความผันผวน ของค่าเงินบาทเท่านั้น

 

ปริมาณเงินและการทำ QE กรณีไทยในปัจจุบัน

 

วิทัย ยังกล่าวถึงการทำ QE โดยการเข้าซื้อพันธบัตรอาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม และไม่ได้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้มากนัก เนื่องจากภาคธุรกิจไทยระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก แม้จะมีบางส่วนออกหุ้นกู้ แต่ส่วนใหญ่เป็นระยะไม่เกิน 5 ปี ดังนั้น การซื้อพันธบัตรที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวปรับลดลง จึงไม่ได้ส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจมากนัก

 

ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือการให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ซึ่งในภาวะปัจจุบันต้องอาศัยการลดต้นทุนความเสี่ยง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising