จีนเลิกมาตรการจูงใจ หันมาเก็บภาษีทอง เพิ่มรายได้การคลัง แต่เสี่ยงเพิ่มต้นทุนให้กับประชาชนทั่วไป ที่ต้องการซื้อขายทองคำ ท่ามกลางตลาดที่กำลังร้อนแรงตลอดปีที่ผ่านมา
ตามกฎหมายฉบับใหม่จากกระทรวงการคลังจีน ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป รัฐบาลจีนจะไม่อนุญาตให้ผู้ค้าปลีกนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (value-added tax) เมื่อขายทองคำที่จ่ายจากการซื้อทองคำในตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) มาหักออกเมื่อขายต่อ ไม่ว่าจะขายโดยตรงหรือหลังจากนำไปแปรรูปก็ตาม
กฎหมายดังกล่าว ครอบคลุมทั้งทองคำเพื่อการลงทุน เช่น ทองคำแท่งบริสุทธิ์ ตลอดจนเหรียญทองคำที่รับรองโดย ธนาคารกลางประชาชนจีน (PBOC) และทองคำใช้งานทั่วไป เช่น เครื่องประดับ และ วัสดุอุตสาหกรรม
มาตรการดังกล่าวควรจะช่วยเพิ่มรายได้ภาครัฐ ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ซบเซา และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งตรึงฐานะการคลัง และสร้างความตึงเครียดแก่รัฐบาล อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าว ทำให้ต้นทุนการซื้อทองคำของประชาชนจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
จากความต้องการซื้อทองคำของนักลงทุนรายย่อยทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ราคาทองคำทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนตลาดเกิดภาวะ ‘ซื้อมากกว่าขาย’ (Overbought) ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานอย่างกะทันหันของราคาทองคำ
ราคาทองคำที่ร่วงลงแรงสุดในรอบ 10 ปีเมื่อไม่นานมานี้ เกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าซื้อทองคำผ่านกองทุน ETF ที่มีทิศทางพลิกลง หลังจากมีแรงซื้อต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ ยังเกิดขึ้นตรงกับช่วงสิ้นสุดฤดูกาลซื้อทองตามเทศกาลในอินเดีย ตลอดจนสัญญาสงบศึกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ชะลออุปสงค์ทองคำแท่งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (haven asset) ลงไป
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่งแตะทะลุไปเมื่อต้นเดือนตุลาคม และยังมีปัจจัยพื้นฐานหลายประการที่คาดว่าจะผลักดันให้ราคาสูงขึ้นไปอีก ได้แก่ การเข้าซื้อโดยธนาคารกลางทั่วโลก การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนทั้งหลายที่ยังคงทำให้ทองกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยยังคงคาดว่า ราคาทองคำอาจ “แตะระดับใกล้ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์” ภายในราว 1 ปีข้างหน้า
อ้างอิง:


