วันนี้ (22 ตุลาคม) ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีคำสั่งกำชับให้สำนักงาน กสทช. จัดการไม่ให้มีการนำโครงข่ายโทรคมนาคมหรืออินเทอร์เน็ตไปใช้ประกอบธุรกิจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้เรียกประชุมผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเป็นการเร่งด่วน เพื่อรับทราบและสั่งการให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
มาตรการสำคัญที่ กสทช. กำชับให้ผู้ประกอบการดำเนินการ มีดังนี้:
- มาตรการสถานีฐานบริเวณชายแดน: นอกจากการควบคุมความสูงสายอากาศแล้ว ให้ใช้เทคนิค “การจำกัดรัศมีการให้บริการ หรือ Cell Radius บริเวณชายแดน โดยเทคนิคนี้จะสามารถกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้อยู่ภายในรัศมีที่กำหนด เพื่อควบคุมไม่ให้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ล้ำข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกลุ่มอาชญากรอาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริเวณชายแดนประเทศกัมพูชา โดยยังคงคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบและระงับบริการที่มีความเสี่ยง: สั่งกำชับให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมตรวจสอบคู่สัญญาบริการหรือพฤติกรรมการใช้บริการที่มีความเสี่ยง และหากตรวจพบให้ดำเนินการระงับบริการและแจ้งมายังสำนักงาน กสทช. ทันที เพื่อนำไปขยายผล หากผู้ประกอบการไม่ดำเนินการ อาจต้องมีส่วนร่วมรับผิดตามมาตรา 4/1 แห่ง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
- ควบคุม IP Address ระหว่างประเทศ: สั่งกำชับให้ผู้รับใบอนุญาตที่ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศต้องไม่นำ IP address ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยไปให้บริการในต่างประเทศ
ไตรรัตน์เน้นย้ำว่า ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นปัญหาระดับโลกและเป็นเรื่องสำคัญของไทยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม หากผู้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการหรือไม่ให้ความร่วมมือ จะถือว่าเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขการอนุญาตตามประกาศ กสทช.
ซึ่งอาจเป็นผลให้ กสทช. พิจารณาพักใช้ เพิกถอน หรือสิ้นสุดใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมได้ ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544