หุ้น DELTA หรือ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 201 บาท ดันมูลค่า (Market Capitalization) ของบริษัทแตะระดับ 2.5 ล้านล้านบาท ได้เป็นครั้งแรก และยังคงรั้งตำแหน่งหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในไทย
แต่สิ่งที่หลายคนตั้งข้อสังเกตคือ ราคาหุ้นของ DELTA ที่หนุนให้มูลค่าพุ่งมาถึงระดับนี้ เป็นระดับที่เหมาะสมกับพื้นฐานของหุ้นแล้วหรือไม่
ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น DELTA วิ่งขึ้นเกือบ 4 เท่า จากจุดต่ำสุดของปีที่ 51.25 บาท มาสู่ 201 บาท คิดเป็นพุ่งขึ้นถึง 292%
ถ้าพิจารณาจากความเห็นของนักวิเคราะห์จาก 17 บริษัทหลักทรัพย์ ที่เปิดเผยข้อมูลผ่าน Settrade.com จะเห็นถึงมุมมองที่แตกต่างกันอย่างมาก จากการประเมินราคาเป้าหมายต่ำสุด 65 บาท และสูงสุด 196 บาท พร้อมคำแนะนำที่ผสมผสานทั้ง ซื้อ ถือ และขาย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้มุมมองของนักวิเคราะห์ต่อหุ้น DELTA แตกต่างกันมากนั้น ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า DELTA มีลักษณะเป็นหนึ่งในหุ้นเติบโตสูง หรือ Growth Stock ทำให้เห็นความเห็นที่แตกต่างกันมากของนักวิเคราะห์ในตลาด เพราะสมมติฐานต่อการเติบโตในอนาคตที่ต่างกัน เช่น การประเมินกระแสเงินสด
ล่าสุด (8 ตุลาคม) บล.Macquarie ประเมินราคาเป้าหมายของ DELTA ที่ 210 บาท โดยให้เหตุผลว่าเป็น “Direct AI Proxy” เดียวในไทย และ 55% ของรายได้มาจาก DC power และ Liquid Cooling ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงจากศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อื่นๆ โดยคาดว่าความต้องการ DC Power จะเพิ่มเป็นสองเท่าระหว่างปี 2567 – 2571 และมองว่าปี 2568 จะเป็นจุดเปลี่ยน คาดรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ต่อปี และกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 21% ต่อปี ในช่วงปี 2567 – 2570
หุ้นเติบโตที่มูลค่าร้อนแรงเกินพื้นฐาน?
ณัฐชาต กล่าวต่อว่า ราคาหุ้น DELTA ที่ขึ้นมาอยู่ ‘ขอบบน’ ตรงนี้ ถ้าพิจารณามูลค่า (Valuation) แม้จะอิงจากกำไรปีหน้า
“ต้องยอมรับว่าราคาไปไกลกว่ามูลค่า หากดู P/E อิงจากกำไรปีหน้าอยู่ที่ 92 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Nvidia ซึ่งมี P/E อยู่ที่ 42 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ยของดัชนี Nasdaq มี P/E 17 เท่า หรือแม้แต่ Delta ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ DELTA ก็มี P/E ต่ำกว่า ที่ 35 เท่า” ณัฐชาตกล่าว
ณ วันนี้หุ้น DELTA ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ 4 แรงหนุนสำคัญที่ผลักให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
ข้อแรกคือ การยืนยันว่าหุ้น DELTA จะยังถูกคำนวณอยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ต่อไปอย่างน้อยในครึ่งปีแรกของปีหน้า โดยเหตุผลสำคัญคือ หุ้น DELTA ถูกกำหนดให้เข้าเกณฑ์ Trading Alert ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ทำให้เมื่อพ้นเดือนกันยายน จึงมั่นใจได้ว่าหุ้น DELTA จะยังผ่านเกณฑ์คัดกรองของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ติด Trading Alert อย่างน้อย 9 เดือน จาก 12 เดือนล่าสุด
แรงหนุนถัดมาคือ การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีที่ซื้อขายอย่าง ‘คึกคัก’ ในตลาดโลก ตามมาด้วยแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่า หนุนหุ้นกลุ่มส่งออก ซึ่งรวมถึง DELTA
ณัฐชาตกล่าวต่อว่า แรงหนุนสุดท้ายที่เป็นแรงหนุนสำคัญคือ ‘ความกลัว’ ที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้จัดการกองทุน
“หากไม่มีหุ้นตัวนี้ (DELTA) ผลตอบแทนของกองทุนอาจจะต่ำกว่าอุตสาหกรรม แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับเกณฑ์การคำนวณน้ำหนักต่อดัชนี แต่ DELTA ยังมีอิทธิพลราว 10% มากที่สุดในตลาด ทำให้ Active Fund ประสบปัญหาคือ หากไม่มีหุ้น DELTA ในพอร์ตหรือ underweight มากเกินไป จะมีความเสี่ยงสูงมากต่อผลตอบแทนของกองทุน”
กำไรยังเติบโต
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า DELTA จะมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 จำนวน 6.2 พันล้านบาท เติบโต 34% จากไตรมาสก่อน และ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลัก คือ คาดว่ายอดขายจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท โดยได้แรงหนุนสำคัญจากสินค้ากลุ่มเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในยุค AI
ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 4 ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่มีความท้าทาย ในด้านบวกยอดขายสินค้าสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงมีความต้องการสูง และความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้คลี่คลายลงแล้ว ในอีกด้านหนึ่งคาดว่าค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ที่ต้องจ่ายให้บริษัทแม่ที่ไต้หวัน เนื่องจากมีโครงการที่ต้องใช้เทคโนโลยีจากบริษัทแม่เข้ามามากขึ้น
จากแนวโน้มที่สดใส นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรทั้งปี 2568 และ 2569 ขึ้นเฉลี่ย 11% พร้อมขยับราคาเป้าหมายสำหรับปี 2569 ไปอยู่ที่ 175 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำจากเดิม Underperform (ควรลดน้ำหนักการลงทุน) เป็น Neutral (ถือ)
ส่วนผลประกอบการของ DELTA ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 18,939 ล้านบาท ส่วนปีนี้ บล.เอเซียพลัส คาดว่าจะอยู่ที่ 22,460 ล้านบาท ก่อนจะเติบโตเป็น 28,270 ล้านบาท และ 35,073 ล้านบาท ในปี 2569 และปี 2570 ตามลำดับ