สินทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดในปีนี้ คงจะหนีไม่พ้น ‘ทองคำ’ ตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ราคาทองคำพุ่งขึ้นประมาณ 53% (ณ วันที่ 8 ตุลาคม) ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,018 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสภาทองคำโลกบอกว่านี่คือปีที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี 1979
จากรายงานฉบับล่าสุด ‘Gold Market Commentary Stick, twist or double down?’ ของสภาทองคำโลก (World Gold Council) ซึ่งใช้ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ราคาทองคำปิดเดือนที่ 3,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากกองทุน ETF ที่ซื้อสุทธิ 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 5.6 แสนล้านบาท คิดเป็นจำนวนทองคำ 146 ตัน โดยแรงซื้อหลักๆ มาจากทวีปอเมริกาเหนือ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ และยุโรป 4.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่แรงซื้อจากเอเชียเข้ามา 2.1 พันล้านดอลลาร์
สภาทองคำโลกเปิดเผยอีกว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึง ณ สิ้นเดือนกันยายน ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ถึง 39 ครั้ง ช่วยหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น 47%
ก่อนที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นได้ต่อในช่วงต้นเดือนตุลาคม ทำให้จำนวนการทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้เพิ่มเป็นกว่า 40 ครั้ง พร้อมด้วยสถิติราคาที่เพิ่มเป็น 53%
ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศไทย ล่าสุด ณ เวลา 10.50 น. ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง พุ่งแตะ 61,750 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 800 บาทจากวันก่อนหน้า และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมาแล้ว 19,650 บาท นับเป็นปีที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมากที่สุด
สภาทองคำโลกเปิดเผยอีกว่า ตลาดการเงินกำลังเข้าสู่เดือนตุลาคมซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนรุนแรงและมักเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น ท่ามกลางสัญญาณเตือนภัยหลายประการที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นกำลังมีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าที่ตึงตัว, การกระจุกตัวของตลาด และสถานะการลงทุนที่ขยายตัวเต็มที่ คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนในขณะนี้คือ ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยดั้งเดิม จะยังสามารถทำหน้าที่เป็น ‘หลุมหลบภัย’ (Hedge) ที่ดีได้หรือไม่?
ความกังวลหลักของนักลงทุนต่อทองคำในขณะนี้มีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1.ทองคำอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจไม่มีแรงซื้อใหม่ๆ เข้ามามากพอที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก หากเกิดการเทขายในตลาดหุ้น
และ 2.ดอลลาร์อยู่ในภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความสัมพันธ์เชิงลบกับราคาทองคำในระยะยาว การที่ดอลลาร์อยู่ในภาวะ Oversold มาเป็นเวลานาน ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดการดีดตัวกลับซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อราคาทองคำ
เจาะลึกข้อมูลในอดีต ปัจจัยชี้ขาดที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ได้ทำการศึกษาข้อมูลย้อนหลังในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานครั้งสำคัญ และพบข้อสรุปที่น่าสนใจว่าเงื่อนไขเริ่มต้น (Initial Conditions) เช่น การที่ทองคำอยู่ในภาวะ Overbought หรือดอลลาร์อยู่ในภาวะ Oversold “ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ดีนัก” สำหรับผลการดำเนินงานของทองคำในช่วงเวลาดังกล่าว
“ปัจจัยเดียวที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญจริงๆ คือทิศทางที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวไป ในระหว่างที่เกิดการเทขายหุ้น” บทวิเคราะห์ระบุ
และข่าวดีก็คือ ในอดีต “ในช่วงสองในสามของการเทขายหุ้น ค่าเงินดอลลาร์ได้อ่อนค่าลง” ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำ และไม่มีหลักประกันว่าการที่ดอลลาร์อยู่ในภาวะ Oversold จะต้องดีดตัวกลับขึ้นมาเสมอไปเพียงเพราะตลาดหุ้นร่วงลง
ตั้งแต่ปี 1971 ถึงเดือนกันยายน 2025 หากดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 10% ราคาทองคำมักจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.4% โดยมีความน่าจะเป็นราว 60%
นอกเหนือจากข้อมูลในอดีตแล้ว ทองคำยังได้รับปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อีกหลายประการ ทั้งแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเข้าซื้อทองคำในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ
ขณะที่สถานการณ์ต่างๆ ยังคงเอื้ออำนวยต่อทองคำ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายในรัฐบาลสหรัฐฯ (รวมถึงการ Shutdown), ความตึงเครียดทางการค้า, สัญญาณตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงท่ามกลางความกลัวเรื่องเงินเฟ้อ และแนวโน้มการกระจายความเสี่ยงออกจากเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ตามปัจจัยเดียวที่อาจทำให้ทั้งทองคำและหุ้นร่วงลงพร้อมกันคือ “ภาวะสภาพคล่องตึงตัวอย่างรุนแรง (Major Liquidity Squeeze)” แต่ในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนของรอยร้าวในภาคสินเชื่อหรือภาคธนาคาร
โดยสรุป แม้ราคาทองคำจะดูแพงและเผชิญกับความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์ แต่ข้อมูลในอดีตและปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันยังคงสนับสนุนบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้อย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรจับตามองจึงไม่ใช่ราคาของทองคำในปัจจุบัน แต่เป็นทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากตลาดหุ้นเริ่มเข้าสู่การปรับฐานอย่างแท้จริง
ภาพ: UCG / Contributor / GettyImages