วิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการ ‘คนละครึ่ง-เติมเงินบัตรสวัสดิการ’ หลังแบงก์ชาติคาด อาจกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย’ แม้ใช้ใช้งบประมาณถึง 6.6 หมื่นล้านบาท โดยไม่น่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 0.4% ของ GDP สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดว่า ‘คนละครึ่งพลัส’ จะช่วยกระตุ้นบริโภคได้บ้าง แต่เตือน MPC ต่ำ เหตุกำลังซื้อที่อ่อนแรง ขณะที่ ‘ศิริกัญญา’ จี้รัฐบาลใหม่ทบทวนใช้งบก้อนสุดท้าย 6.3 หมื่นล้าน หวั่นมุ่งหาเสียงมากกว่ารักษาวินัยการคลัง
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาค่าครองชีพของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล โดยระบุว่า ภายใต้มาตรการนี้ แบ่งเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง โดยคาดว่า ผลการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก 2 โครงการนี้น่าจะไม่ถึง 0.4% ของ GDP แม้ทั้ง 2 โครงการคาดว่า จะใช้งบประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 0.4% ของ Nominal GDP
โฆษกธปท. อธิบายต่อว่า เนื่องจาก มาตรการประเภทเงินโอนอาจจะไม่ได้สร้างตัวทวีคูณ (Multiplier) ในแง่รายได้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม 2 โครงการนี้คาดว่า จะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่น แม้จะมีการรั่วไหลบ้าง เช่น ผ่านสินค้านำเข้าบางจุดบางส่วน
“ทั้งนี้ ผลกระทบหรือผลดีจริง ๆ ต่อเศรษฐกิจจะมากน้อยเพียงใดนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้จ่ายของประชาชนด้วย แม้จะมีการคาดการณ์ว่าผลโดยรวมจะเป็นบวก แต่การจะถึงระดับ 0.4% เท่ากับจำนวนเม็ดเงินเป๊ะๆ นั้นอาจจะไม่น่าเป็นไปได้” ชญาวดีกล่าว
กสิกรไทยคาด ‘คนละครึ่ง’ ช่วยกระตุ้นบริโภคได้บ้าง ห่วง MPC ต่ำเหตุกำลังซื้อที่อ่อนแรง
สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งระบุว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ที่คาดว่าจะใช้ได้ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 น่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสสุดท้ายของปีได้บ้าง
โดยในเบื้องต้นหากวงเงินอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท (รวมการให้เงินประชาชนทั่วไปในโครงการคนละครึ่ง 20 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายเพิ่มเติมคิดเป็นราว 0.15% ของ GDP ท่ามกลาง Marginal propensity to consume (MPC) ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณ เงื่อนไขการใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ที่กำหนด ขณะที่แรงหนุนเพิ่มเติมต่อ GDP ในปีนี้อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินดังกล่าวถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว
‘ศิริกัญญา’ หวั่นรัฐบาลมุ่งหาเสียงมากกว่ารักษาวินัยการคลัง
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตและแสดงความกังวลต่อการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นทันทีหลังการแถลงนโยบายในเย็นวันนี้ โดยมีวาระสำคัญคือการอนุมัติงบประมาณก้อนสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งเป็นงบกลางในส่วนของงบกระตุ้นเศรษฐกิจและเงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน รวมเป็นเงินสูงถึง 63,000 ล้านบาท
ศิริกัญญาระบุว่า งบประมาณก้อนดังกล่าวมีโครงการที่จะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอนคือ โครงการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้กับผู้ถือบัตร 13.5 ล้านคน เป็นวงเงิน 22,000 ล้านบาท ขณะที่งบประมาณส่วนที่เหลือจะถูกนำไปใช้คืนหนี้ ธ.ก.ส., จ่ายเงินเดือนและบำนาญที่ตั้งงบไว้ไม่เพียงพอ และชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
ตั้งคำถามถึงความจำเป็นและประสิทธิผลทางเศรษฐกิจ
ศิริกัญญาได้ตั้งคำถามสำคัญถึงเหตุผลและความจำเป็นของการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยระบุว่า
- ทำไมต้องแยกจากโครงการ ‘คนละครึ่ง’: โครงการคนละครึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือร้านค้ารายย่อยได้ในวงกว้างกว่า แต่การเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะจำกัดการใช้จ่ายอยู่เพียงร้านค้าธงฟ้า
- ความจำเป็นเร่งด่วน: ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่งได้รับเงิน 10,000 บาทไปเมื่อเดือนกันยายน 2567 จึงเกิดคำถามถึงเหตุผลที่ต้องให้เงินเพิ่มอีก 2,000 บาทในเวลานี้
- ไม่ตอบโจทย์กระตุ้นเศรษฐกิจ: การเติมเงินในลักษณะนี้ถูกพิสูจน์แล้วจากการแจกเงิน 10,000 บาทว่าไม่ได้ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควร และอาจเป็นเพียงการหาคะแนนนิยมทางการเมือง
ห่วงสถานะการคลังของประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ศิริกัญญาย้ำคือ สถานะวินัยการคลังของประเทศ โดยชี้ว่า
- งบประมาณปี 2568 เป็นปีที่ขาดดุลงบประมาณสูงสุดในรอบหลายสิบปี สูงถึง 4.5% ของ GDP จากปกติที่ควรอยู่ราว 3%
- หากใช้งบประมาณเต็มจำนวน จะทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 66% ของ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568
- การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าไปแล้ว 34,000 ล้านบาท ทำให้มีความเสี่ยงที่รายรับจะไม่เพียงพอกับรายจ่าย
ข้อเสนอแนะ ชะลอใช้งบเพื่อลดหนี้
ศิริกัญญาเสนอว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องเร่งใช้งบประมาณค้างท่อปี 2568 ให้หมดจนหยดสุดท้าย ควรอนุมัติเฉพาะรายการที่เร่งด่วนและจำเป็นจริงๆ เช่น งบเยียวยาชายแดน และงบบุคลากรภาครัฐ
ส่วนงบประมาณก้อนใหญ่อย่างการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งยังมีข้อกังขาถึงความจำเป็นและประสิทธิผล ควรถูกชะลอหรือพับไป เพื่อลดการกู้เงิน ลดการขาดดุลงบประมาณ และลดภาระหนี้สินของประเทศ
“อย่ามุ่งแต่จะหาคะแนนนิยม จนลืมรักษาวินัยการคลัง” ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้าย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ทางการเมืองในระยะสั้น