วันนี้ (26 กันยายน) ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแก้รัฐธรรมนูญ ว่า วานนี้ (25 กันยายน) มีการพูดคุยกันของวิป 3 ฝ่าย ซึ่งเห็นตรงกันแล้วว่า จะมีการนำร่างเข้าสู่พิจารณาของสภาในวันที่ 14-15 ตุลาคม โดยทั้ง 3 ร่าง พรรคภูมิใจไทยจะโหวตเห็นชอบทั้ง 3 ร่าง
ส่วนท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) นั้นทางตัวแทน สว.ระบุว่า จะไปหารือกับเพื่อน สว. ซึ่งหวังว่า สว. จะโหวตให้ สำหรับรูปแบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขณะนี้ที่มา ส.ส.ร. มี 3 รูปแบบ เป็นแบบของพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ซึ่งในกรณีที่ประชุมสภารับทั้ง 3 ร่าง ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญสามารถผสมกันทั้ง 3 ร่าง แล้วออกมาเป็นร่างของคณะกรรมาธิการได้ โดยจะต้องไปหารือกัน รวมถึงข้อกังวลเรื่องการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมว่าจะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและนำไปสู่การตีความของคนที่ไม่ประสงค์แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
เร่งใช้งบฯ 68 คนละครึ่งเฟสแรก-เยียวยาประชาชนชายแดน-ช่วยเกษตรกร
ภราดร ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ ยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับ อนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมถึงได้ปรึกษากับ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถึงการใช้งบประมาณ ปี 2568 ที่จะสิ้นสุดปีงบประมาณในวันที่ 30 กันยายนนี้ ว่ามีงบฯเหลืออยู่ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบกลางสำรองฉุกเฉินและอีกส่วนจะนำไปใช้ในโครงการคนละครึ่ง ในเฟสแรก
โดยจะให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อน ประมาณ 13 ล้านคน วงเงินประมาณ 22,000 กว่าล้านบาท เพิ่มเติมจากเดือนละ 300 บาท เพิ่มเป็น 2,000 บาท นอกจากนั้น จะเป็นกลุ่มบุคคลทั่วไป รวมไปถึงจะใช้งบประมาณในปี 2569 มาเพิ่มเติม ประมาณ 25,000 ล้านบาท
คาดว่าในช่วงต้นเดือนตุลาคมน่าจะได้เริ่มโครงการแล้ว เนื่องจาก ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังเร่งดำเนินการพูดคุยกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่า จะดำเนินโครงการทั้งสิ้นจำนวน 20 ล้านสิทธิ์ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 ก็จะต้องลงทะเบียนใหม่ โดยต้องถามรายละเอียดจากกระทรวงการคลังอีกครั้ง
ภราดรกล่าวอีกว่า ในงบประมาณส่วนอื่นจะเป็นของหน่วยงานที่ขอเข้ามา อาทิ ทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 500-700 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายประจำที่ตั้งไว้อย่างเงินเดือนข้าราชการประมาณ 3,000 ล้านบาท และงบประมาณในส่วนที่อนุมัติโครงการไปแล้วแต่ยังไม่ดำเนินการ เพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีในส่วนที่ค้างท่ออยู่ประมาณ 1,580 ล้านบาท
ภราดรกล่าวอีกว่า น่าจะเหลือเงินงบประมาณปี 2558 ที่ยังค้างท่อประมาณ 3.5 หมื่นล้าน ซึ่งจะนำไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่รัฐบาลเก่าก่อหนี้ไว้ รวมถึงโครงการพักหนี้เกษตรกร