×

เศรษฐีวัย 27 เตือน การใช้เงินแบบเก่า ควรเลิกซะ! ก่อนที่จะจนลงกว่าเดิม

03.09.2025
  • LOADING...
อดีตเทรดเดอร์วัย 27 แชร์เคล็ดลับการเงินสำหรับคนรุ่นใหม่

โซเชียลฮือฮา เมื่ออดีตเทรดเดอร์วอลล์สตรีท ผู้ก่อตั้งเพจ Your Rich BFF และผู้เขียนหนังสือ Rich AF ซึ่งทำเงินล้านแรกได้ตั้งแต่อายุเพียง 27 ปี ออกมาเผยถึงคำแนะนำทางการเงินแบบดั้งเดิมที่แพร่หลาย ทั้งจากกูรูรุ่นก่อน หนังสือการเงิน หรือแม้แต่คำสอนจากพ่อแม่ ที่ใช้ไม่ได้โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะสดใสมากนัก

 

แถมบางอย่างยังอาจทำให้คนรุ่นใหม่จนลงไปอีก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z ต้องเผชิญสภาพเศรษฐกิจที่ยากกว่าเดิมมาก ถ้าเทียบจากรุ่นพ่อแม่ที่สะสมความมั่งคั่งได้เร็วกว่า จึงไม่แปลกที่หลายคนจะรู้สึกเหมือนถูกแจกไพ่ให้เสียเปรียบตั้งแต่เริ่ม

 

พร้อมแนะด้านการเงิน 4 ข้อที่ควรเลิกเชื่อ

 

1. เปลี่ยนอาชีพแล้วจะได้เงินมากขึ้น 

 

ที่จริงฟังดูง่าย แต่ความจริงไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงโอกาสงานรายได้สูง ลองนึกภาพว่ามีคนที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานในย่าน Appalachia หลังเรียนจบก็ย้ายไปอยู่เมืองขนาดกลาง เพื่อทำงานที่บริษัท Dunder Mifflin แล้วเส้นทางจะไปถึงการทำงานที่ Google ได้อย่างไร

 

ยิ่งไม่รู้จักใครที่ทำงานด้านเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะมีใบปริญญาแล้วก็ตาม สะท้อนให้เห็นว่าคนที่ไม่มีคอนเน็กชันหรืออยู่ไกลจากตลาดแรงงานหลัก จะเข้าไปทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ ได้ คำตอบคือ ไม่มีทาง เพราะ Google จะเลือกจ้างคนจากเครือข่ายคนรู้จักที่มีอยู่จำนวนมาก

 

ที่สำคัญงานไม่ได้เป็นตัวชี้วัดกำหนดเงินเดือนเท่านั้น แต่งานหรืออาชีพที่ทำยังเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่ หล่อหลอมตัวตนและชีวิตอีกด้วย

 

2. หาที่อยู่ถูกกว่า หรือหาคนมาแชร์ค่าห้อง

 

ในปัจจุบัน ราคาที่อยู่อาศัยทั้งการซื้อและการเช่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในภาระที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะกับชนชั้นกลางที่มองว่าการมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในระยะยาว

 

แต่การเป็นเจ้าของบ้านถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของหลายคน แม้จะต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่กลับเป็นการลงทุนที่ให้ผลลัพธ์ในเชิงความมั่นคงได้ดีที่สุด เพราะเมื่อถึงวัยเกษียณ บ้านคือทรัพย์สินที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และยังสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้อีกด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมบ้านจึงถูกมองว่าเป็นหลักประกันชีวิตของชนชั้นกลางมาโดยตลอด

 

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำที่มักได้ยินกันว่า ‘ถ้าที่อยู่เดิมแพงเกินไป ก็ควรย้ายไปหาที่ถูกกว่านี้’ อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป เพราะการย้ายออกจากทำเลที่คุ้นเคยไม่ได้มีเพียงต้นทุนด้านการเงิน แต่ยังมีต้นทุนที่มองไม่เห็น เช่น ผลกระทบต่ออารมณ์ ความเครียดจากการปรับตัว ไปจนถึงคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป ทั้งการเดินทาง การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและชุมชนรอบตัว

 

การเปลี่ยนที่อยู่อาศัยจึงไม่ใช่แค่การตัดสินใจเรื่องตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวพันกับชีวิตในทุกมิติ หลายครั้งผู้คนอาจไม่พร้อมจะแลกกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ เพียงเพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะถูกลงในระยะสั้น แต่กลับทำให้ห่างไกลจากเป้าหมายในการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว

 

3. เลิกซื้อกาแฟกับอะโวคาโด

 

เวลาพูดถึงการเงิน ส่วนใหญ่สิ่งที่มักถูกสอนหรือได้ยินจากกูรูการเงิน คือการควบคุมค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น อย่าซื้อกาแฟแก้วละร้อยบ่อยๆ อย่ากินข้าวนอกบ้านเกินจำเป็น หรืออย่าเผลอใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากนัก เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายทางการเงินในอนาคต

 

แต่ความจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ในระยะสั้น ไม่ได้เป็นตัวการหลักที่ทำให้ใครสักคนพลาดเป้าหมายใหญ่ ตัวอย่างเช่น หลายครั้งที่คนเรารู้สึกท้อแท้กับภาระใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านที่ราคาสูงเกินเอื้อม หรือการจ่ายหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จนทำให้คิดว่ายังไงก็คงไม่มีทางปลดหนี้หรือมีบ้านได้อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ขอใช้เงินเล็กๆ น้อยๆ ไปกินของอร่อยสักมื้อ

 

ซึ่งเอาเข้าจริง ความคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร และยังฟังดูสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าเป้าหมายทางการเงินดูไกลเกินไป ไม่ได้มาจากการใช้จ่ายเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน 

 

แต่มาจากเงินเฟ้อ ฟังดูเหมือนศัพท์เศรษฐกิจที่ซับซ้อน แต่ความหมายพื้นฐานนั้นเข้าใจง่ายมาก มันก็คือการที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาของมันจะเริ่มชัดเจนก็ต่อเมื่อรายได้ ไม่สามารถวิ่งตามทันกับราคาที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงกำลังซื้อของเรากำลังลดลง แม้จะได้เงินเดือนเพิ่ม แต่กลับซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิม

 

โดยทั่วไป นักเศรษฐศาสตร์มักเห็นพ้องกันว่า หากเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับประมาณ 2% ต่อปี ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ และสะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แต่เมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อสูงและพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือสัญญาณของปัญหาใหญ่ เพราะทำให้ค่าครองชีพพุ่งแซงหน้าค่าแรง ผลที่ตามมาคือ ผู้คนต้องทำงานหนักขึ้น แต่กลับรู้สึกว่ามีเงินเหลือใช้ลดลง

 

ทั้งนี้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต่างเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงเกินระดับปกติ สาเหตุมีทั้งจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในช่วงโควิดที่ผ่านมา รวมถึงราคาพลังงานและอาหารที่ผันผวน ไปจนถึงความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ราคาสินค้าทุกประเภทขยับสูงขึ้น สวนทางกับค่าแรงกลับไม่ได้เพิ่มขึ้น

 

เมื่อมองจากภาพนี้ จะเห็นได้ชัดว่า การใช้จ่ายเล็กน้อยในชีวิตประจำวันไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายใหญ่ แต่ตัวการจริงๆ คือ ‘ความไม่สมดุลระหว่างรายได้และค่าครองชีพ’ ที่เงินเฟ้อเป็นผู้กำหนด ดังนั้นจึงไม่ควรโทษตัวเองที่ซื้อกาแฟสักแก้ว หรือออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้าง

 

4. ผ่อนคลายไปเถอะ ยังไงเงินก็ซื้อความสุขไม่ได้ จริงหรือไม่

 

ย้อนกลับไปในปี 2010 งานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าความสุขของคนเพิ่มขึ้นตามรายได้ แต่เมื่อรายได้สูงขึ้น ระดับความสุขก็เริ่มคงที่ หลายคนจึงสรุปว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้เพียงแค่ตอบสนองปัจจัยพื้นฐาน แต่ไม่เกินกว่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดในปี 2021 พบว่าความสุขยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามรายได้ที่สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าเงินยังมีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี

 

อีกประเด็นที่ต้องเข้าใจคือคำพูดที่ว่า ‘แค่ผ่อนคลายไปเถอะ’ มักมองข้ามความจริงของชีวิต คนรุ่นใหม่ที่เกิดตั้งแต่ยุค 90s ต้องเติบโตท่ามกลางเหตุการณ์สะเทือนโลกและความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ 9/11 สงครามอิรัก วิกฤตที่อยู่อาศัยปี 2008 Brexit และโควิด-19 ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น

 

คนในยุคนี้จึงต้องเผชิญกับบาดแผลทางเศรษฐกิจ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตเป็นเรื่องปกติ และความปรารถนาจะมีเงินเพื่อความมั่นคงก็ถือเป็นสิ่งธรรมชาติ ไม่ใช่ความโลภ

 

สรุปได้ว่า เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความสุขเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้รับมือกับโลกที่ซับซ้อนและไม่แน่นอนนี้ได้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising