เดี๋ยวนี้การตั้งเป้าหมายว่าจะทำงานลากยาวถึงอายุ 60 ปี ดูจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยสำหรับยุคปัจจุบันเสียแล้ว ปัจจัยก็มาจากทั้งคนรุ่นใหม่เองที่มีความฝันอยากใช้ชีวิตแบบอิสระมากขึ้น และปัจจัยเศรษฐกิจที่ผันผวนทำคนรุ่นเยาว์เสี่ยงตกงานก่อนแก่กันได้มากขึ้น
แต่การจะหยุดทำงานไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องที่นึกอยากทำก็ทำได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเราก็ยังมีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นเหตุให้แนวทางการเงินแบบ FIRE (Financial Independence, Retire Early) เป็นที่น่าดึงดูดใจให้ลองทำตาม สำหรับใครที่อยากเตรียมพร้อมให้เกษียณได้ไวขึ้น
การเงินแบบ FIRE คืออะไร
FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early เป็นแนวคิดและไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นการสร้างอิสรภาพทางการเงินเพื่อเกษียณได้ก่อนกำหนด (Retire Early) โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงอายุ 60-65 ปี โดยมีแนวทางการออมเงินอย่างเข้มข้น (50-70% ของรายได้) และลงทุนให้เติบโต เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากงานประจำ
หลักการสำคัญของ FIRE
- มีอิสรภาพทางการเงิน (Financial Independence): หมายถึงการมีเงินเก็บและเงินลงทุนมากพอที่จะสร้างกระแสรายได้แบบ Passive Income (รายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องทำงาน) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมด ทำให้เราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป
- เกษียณอายุเร็วกว่าปกติ (Retire Early): เมื่อมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว เราสามารถเลือกที่จะเลิกทำงานประจำ หรือเลือกทำงานที่รักได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้
วิธีการของ FIRE
ตามหลักของแนวคิดนี้ เราจะเกษียณได้เมื่อไหร่ ไม่ขึ้นอยู่กับที่อายุแต่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เรามี โดยมีหลักการคำนวณ 2 ข้อหลัก คือ
- กฎ 25 เท่า (The 25x Rule)
- คำนวณจำนวนเงินที่ต้องมีเพื่อเกษียณ โดยการนำค่าใช้จ่ายต่อปีที่คาดว่าจะใช้ไป คูณด้วย 25
- ตัวอย่าง: หากเราคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีละ 300,000 บาท เราจะต้องมีเงินเก็บและเงินลงทุนอย่างน้อย 300,000 x 25 = 7,500,000 บาท
- กฎ 4% (The 4% Rule)
- เมื่อถึงเป้าหมายเงินเก็บแล้ว เมื่อเราจะถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนออกมาเพื่อใช้จ่ายในแต่ละปี ต้องไม่เกิน 4%
- โดย 4% นี้มาจากสมมติฐานที่ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงกว่า 4% ต่อปี ทำให้เงินต้นยังคงอยู่และสามารถเติบโตต่อไปได้
FYI: ทำไมต้อง 25 เท่า?
กฎ 25 เท่า เป็นการคำนวณแบบผกผันของกฎ 4% ต้องการถอนเงิน 4% ของพอร์ตในแต่ละปี ก็เท่ากับว่าเงินที่ต้องมีคือ 100% ÷ 4% = 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปีนั่นเอง
เช่น 300,000 บาท (ค่าใช้จ่ายต่อปี) x 25 = 7,500,000 บาท เมื่อมีเงินครบ 7.5 ล้านบาท เราสามารถถอนออกมาใช้จ่ายได้ปีละ 300,000 บาท (ซึ่งเท่ากับ 4% ของพอร์ต) โดยที่เงินในพอร์ตยังมีโอกาสเติบโตจากการลงทุนต่อไป
กลยุทธ์หลักในการบรรลุเป้าหมาย FIRE
- ประหยัดและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด
ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินออมให้ได้มากที่สุด บางคนอาจจะประหยัดได้ถึง 50-70% ของรายได้
- สร้างรายได้ให้มากขึ้น
นอกจากการประหยัดแล้ว การหารายได้เสริม (Side Hustle) หรือพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มรายได้ในอาชีพหลัก ก็เป็นสิ่งสำคัญ
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอและชาญฉลาด
นำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายและเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund), หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์
ประเภทของ FIRE
การเกษียณอายุแบบ FIRE มีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ที่แต่ละคนคาดหวังหลังเกษียณ
- Lean FIRE: เน้นการใช้ชีวิตแบบสมถะที่สุดหลังเกษียณ เพื่อให้ใช้เงินต่อปีน้อย ทำให้จำนวนเงินที่ต้องเก็บเพื่อเกษียณน้อยลงตามไปด้วย
- Fat FIRE: เน้นการเก็บเงินจำนวนมากเพื่อเกษียณในแบบที่ยังคงสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้ โดยทั่วไปแล้ว ต้องเป็นคนที่มีเงินเดือนสูง และมีกลยุทธ์การออมและการลงทุนที่เข้มข้นจึงจะได้ผล
- Coast FIRE: เน้นการออมเงินก้อนใหญ่ตั้งแต่ช่วงแรก จากนั้นปล่อยให้เงินก้อนนี้เติบโตด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) โดยไม่จำเป็นต้องออมเพิ่มอีก แต่ยังคงทำงานเพื่อเลี้ยงชีพจนกว่าจะถึงวัยเกษียณ
ข้อควรระวัง
กฎนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นที่อิงจากข้อมูลในอดีต ซึ่งไม่ได้การันตีว่าจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เสมอไป ดังนั้นควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น
- อัตราเงินเฟ้อ: เงิน 300,000 บาทในวันนี้อาจมีมูลค่าไม่เท่ากับในอนาคต ดังนั้นควรเผื่ออัตราเงินเฟ้อไว้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายด้วย
- สภาวะตลาด: ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามที่คาด ทำให้เราอาจต้องปรับลดอัตราการถอนเงินลง
- การใช้ชีวิตหลังเกษียณ: หากวางแผนจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและลดค่าใช้จ่ายลง ก็อาจใช้ตัวเลข 25 น้อยกว่านั้นได้ หรือหากต้องการใช้ชีวิตที่หรูหราขึ้น ก็อาจต้องใช้ตัวเลขที่มากกว่านั้น
ตัวอย่างการวางแผนแบบ FIRE
สำหรับเด็กจบใหม่ที่อายุ 25 ปี และต้องการเกษียณตอนอายุ 45 ปี (เท่ากับมีเวลาทำงานและออมเงิน 20 ปี) โดยตั้งเป้าจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีละ 300,000 บาท
- เป้าหมายเงินเกษียณ (FIRE Number)
ตามหลัก “กฎ 25 เท่า” ต้องมีเงินเก็บและเงินลงทุนทั้งหมดเท่ากับ 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปี
เงินเกษียณที่ต้องมี: 300,000 บาท/ปี x 25 = 7,500,000 บาท
นี่คือจำนวนเงินที่เราจะต้องมีตอนอายุ 45 ปี เพื่อให้สามารถถอนเงินมาใช้จ่ายได้ปีละ 300,000 บาท โดยเงินต้นยังคงเติบโตจากการลงทุน (แต่ถ้าอายุ 45 ปีแล้ว แต่เงินสะสมยังไม่ถึง ก็ต้องเลื่อนการเกษียณออกไป)
- แผนการออมและการลงทุน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 7.5 ล้านบาทในระยะเวลา 20 ปี เราต้องออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยตัวเลขจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
สมมติให้ว่าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี (ทบต้น) เราจะต้องออมและลงทุนดังนี้
- เงินที่ต้องออมต่อเดือน: ประมาณ 15,000 – 16,000 บาท
- เงินที่ต้องออมต่อปี: ประมาณ 180,000 – 192,000 บาท
คำนวณ: ด้วยการลงทุนเดือนละ 15,500 บาท และได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เป็นเวลา 20 ปี เงินในพอร์ตของเราจะเติบโตจนมีมูลค่าใกล้เคียง 7.5 ล้านบาท (จากการออมเงินต้นประมาณ 3.72 ล้านบาท และผลตอบแทนจากการลงทุนอีกประมาณ 3.78 ล้านบาท)
- หลังเกษียณ
- ใช้ชีวิตตาม “กฎ 4%” อย่างเคร่งครัด: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ต้องถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนออกมาใช้จ่ายในแต่ละปีไม่เกิน 4% ของมูลค่าพอร์ตทั้งหมด เพื่อให้เงินต้นยังคงอยู่และเติบโตต่อไปในระยะยาว การไม่ใช้จ่ายเกินตัวเป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงแรกของการเกษียณ เพราะหากตลาดหุ้นผันผวน เงินของเราจะเสี่ยงต่อการลดลงอย่างรวดเร็ว
- บริหารพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง: แม้จะเกษียณแล้ว แต่เงินของเรายังคงต้องทำงาน เงินที่เหลือจาก 4% ที่ถอนออกมาจะต้องนำไปลงทุนต่ออย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำลงเล็กน้อยเพื่อความมั่นคง แต่ยังคงต้องทำให้เงินเติบโตเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ
การเงินแบบ FIRE สามารถทำได้จริงถ้ามีความมุ่งมั่นและวินัยทางการเงินสูง โดยหัวใจสำคัญคือการออมและลงทุนอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่การประหยัดอย่างเดียว เป้าหมายคือมีเงินเก็บและเงินลงทุนมากพอที่จะสร้างรายได้แบบ Passive Income ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิต ใครที่อยากลองทำตาม ควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จากนั้นควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น หุ้นหรือกองทุนรวม เพื่อให้เงินทำงานแทนเรา และไปถึงเป้าหมายการเกษียณก่อนกำหนดได้ในที่สุด
ภาพ: 12963734 s/ Getty Images
อ้างอิง: