×

อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 ฉากทัศน์

20.08.2025
  • LOADING...
สงครามรัสเซีย-ยูเครน

เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการหารือสำคัญระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และการหารือระหว่างทรัมป์ และบรรดาผู้นำยุโรป ซึ่งรวมถึงโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายสำคัญในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้นมานานกว่า 3 ปีครึ่ง

 

นี่คือ ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นจากทั้งสองการประชุม

 

การประชุมสร้าง ‘บรรยากาศใหม่’ แก่โลก

 

ผศ. ดร. จิราพร ร่วมพงษ์พัฒนะ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า หลังเสร็จสิ้นทั้งสองการประชุม โดยเฉพาะทรัมป์-ปูตินซัมมิท ได้สร้างบรรยากาศใหม่ต่อประชาคมโลก แม้จะยังไม่มีรูปธรรม แต่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ดูดียิ่งขึ้น

 

อาจารย์มองว่า ปูตินเปิดเผยตัวตนมากขึ้น และทรัมป์ก็แสดงบทบาทในฐานะ ‘คนกลาง’ เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยหรือสะพานเชื่อมระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งในมุมหนึ่งก็สะท้อนว่า รัสเซียไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวอีกต่อไป และอาจมีการเจรจาผ่อนปรนเรื่องมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียบางส่วนเพิ่มเติม

 

สอดคล้องกับ พงศ์พล ชื่นเจริญ คอลัมนิสต์ด้านการเมืองยูเรเซีย และล่ามอิสระ ที่ระบุว่า บริบทที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเจรจาสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ และนำไปสู่ท่าทีที่น่าสนใจที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นทางจากฝ่ายรัสเซีย ซึ่งต่างไปจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยบารัก โอบามา หรือโจ ไบเดน ที่การเจรจาหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศแทบเป็นไปไม่ได้เลย

 

ขณะที่การพบกันระหว่างทรัมป์และบรรดาผู้นำยุโรปดูเหมือนจะยังหาจุดร่วมกันไม่เจอ แนวทางและเงื่อนไขต่างๆ ยังดูสวนทางกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งรัสเซียและยูเครนก็ต่างต้องการการสนับสนุน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ 

 

อาจารย์จิราพร ระบุว่า แม้ปูตินจะมองว่า ทรัมป์ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับรัสเซีย 100% แต่ปูตินมองว่าทรัมป์คือ ‘ผู้ร่วมทางเดียวกับปูติน’ ที่จะร่วมกดดันยุโรป และรัสเซียดูจะได้เปรียบทางการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะ สหรัฐฯ เป็นผู้สร้าง ‘วาระการเจรจา’ (Negotiation Agenda) ให้รัสเซีย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทของสหรัฐฯ ทำให้รัสเซียได้เปรียบขึ้นมา แม้ทรัมป์หรือสหรัฐฯ จะมีผลประโยชน์ของตนเองก็ตาม

 

ภาพ: Kevin Lamarque / Reuters

 

ทรัมป์และปูตินปฏิเสธหยุดยิง หวังผลักดันข้อตกลงสันติภาพ

 

ก่อนซัมมิตทรัมป์-ปูติน เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ยังเดินหน้าปิดดีลหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมขู่ว่า จะเกิด ‘ผลลัพธ์ร้ายแรง’ หากเจรจาปิดดีลหยุดยิงไม่สำเร็จ ก่อนที่จะกลับลำในประเด็นนี้ โดยทรัมป์ระบุว่า “เขาไม่คิดว่าการหยุดยิงเป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไป และต้องการเดินหน้าเจรจาข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้าย” ทั้งยังไม่คิดที่จะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย เหมือนที่ขู่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว 

 

โดยปูติน ‘เห็นพ้อง’ กับจุดยืนของทรัมป์ในประเด็นนี้ ขณะที่บรรดาผู้นำยุโรปต่างมองว่า ‘ข้อตกลงหยุดยิง ยังเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ’

 

ดร. อดุลย์ กำไลทอง อาจารย์พิเศษด้านรัสเซียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ในทรัมป์-ปูตินซัมมิต ทั้งสองได้เปิดเผยภาพทั้งหมดให้เห็นและได้รับรู้แล้วว่า ‘รัสเซียต้องการอะไร’ ความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาสันติภาพโดยไม่มีการหยุดยิง ‘มีสูงมาก’ 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต้นสัปดาห์นี้ เป็นแบบ ‘One Stop Service’ สไตล์ทรัมป์ ซึ่งทรัมป์ได้เชิญทั้งยูเครนและยุโรปมาเปิดเผยความต้องการทั้งหมด ก่อนที่จะโทรศัพท์สายตรงหาปูติน ซึ่งอาจหมายความว่า ข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องของยุโรปและยูเครนได้ถูกส่งไปถึงปูตินแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา จึงเป็นไปได้สูงมากที่การหาข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ จะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีการหยุดยิงก่อนเลย

 

ดร. อดุลย์ มองว่า การข้ามช็อตไปสู่การเจรจาสันติภาพ จะส่ง ‘ผลเชิงบวก’ ทางจิตวิทยาอย่างแน่นอน เพราะทั้งโลกรอคอยให้สงครามนี้ยุติลง อีกทั้ง ‘ทุกฝ่ายจะได้รับผลประโยชน์’ โดยรัสเซียจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับจากประชาคมโลก ในฐานะประเทศมหาอำนาจ ที่สหรัฐฯ เกรงใจและต้องคุยเป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งรัสเซียยังเหนื่อยล้ากับการสนับสนุนกำลังทหารและการเงินไปกับสงครามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทรัมป์จึงจัดหาทางลงให้กับปูติน

 

ขณะที่ฝ่ายยูเครนก็รอคอยช่วงเวลานี้มานาน เพราะที่ผ่านมาการจะดึงผู้นำรัสเซียเข้าร่วมวงเจรจาไม่ใช่เรื่องง่าย ดร. อดุลย์ เชื่อว่า ทรัมป์เป็นคนเดียวที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้ หากยูเครนไม่ใช้โอกาสนี้เป็น ‘ทางออกสุดท้าย’ ก็อาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว 

 

ส่วนยุโรปก็เหนื่อยล้าอย่างมาก จากผลกระทบทางเศรษฐกิจอันหนักหน่วงจากสงครามที่ยืดเยื้อนี้ แม้ยุโรปจะยังมีข้อกังวลว่า หากยูเครนจำเป็นต้องสละดินแดนให้รัสเซียจริงๆ จะต้องมีอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนที่ยุโรปและยูเครนยอมรับได้ และต้องดูไม่เป็นการเสียประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว

 

สถานการณ์โดยรวมเป็นไปในเชิงบวก และสหรัฐฯ น่าจะยอมชดเชยด้วยเงินหรือกำลังของตนเอง หากสามารถทำได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ‘สหรัฐฯ คือผู้ที่กินรอบวง หรือเป็นผู้ชนะในเกมนี้’

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้นำยุโรปอยากให้มีข้อตกลงหยุดยิงก่อนข้อตกลงสันติภาพนั้น ดร. อดุลย์ มองว่า ยังมีเรื่องของดินแดนที่ยังคาบเกี่ยวและยังไม่จบ โดยเฉพาะ ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) และเคอร์ซอน (Kherson)ที่ยังคงมีความคลุมเครือ โดยรัสเซียไม่ได้ขอ 2 แคว้นนี้โดยตรง เหมือนกรณีดอนบาส (โดเนตสก์และลูฮันสก์) แต่ใช้คำว่า ‘ตรึงกำลังบริเวณ 2 แคว้นนี้’ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า หมายถึงตรงไหน กว้างแค่ไหน รัศมีกี่กิโลเมตร หากมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยุโรปก็ไม่น่าขัดข้องกับการเจรจาสันติภาพ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมี ‘ช่องว่าง’ หรือความคลุมเครือเกี่ยวกับ 2 แคว้นนี้อยู่

 

ขณะที่อาจารย์จิราพร กล่าวว่า ยุโรปมองสงครามและความรุนแรงในปัจจุบันที่กระทบพลเรือนเป็น ‘บาดแผลทางการเมือง’ การหยุดยิงจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นและทำให้ยุโรปปลอดภัยและมั่นคงขึ้น

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังมองว่า หากมองจากมุมผลประโยชน์ของรัสเซีย หากรัสเซียยอมตกลงหยุดยิงในช่วงเวลาที่เป้าหมายของเขายังไม่บรรลุผล นั่นเท่ากับว่า รัสเซียจะไม่มีเครื่องมือที่ใช้ต่อรองหรืออ้างสิทธิ์ใดๆ เลย รัสเซียจึงแสวงหาข้อตกลงสันติภาพมากกว่า 

 

รัสเซียมีท่าทีผ่อนปรน ในกรณีซาปอริซเซียและเคอร์ซอน

 

ระหว่างทรัมป์-ปูตินซัมมิต ปูตินบอกกับทรัมป์ว่า เขาต้องการให้ยูเครนสละแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ (ภูมิภาคดอนบาส) ซึ่งเป็น 2 ใน 4 แคว้นของยูเครนที่รัสเซียประกาศผนวกรวมไปเมื่อเดือนกันยายน 2022 และมีท่าทีผ่อนปรนต่อ 2 แคว้นที่เหลือ ในกรณีซาปอริซเซียและเคอร์ซอน

 

ดร. อดุลย์ เชื่อว่า ปูตินยังคงต้องการพื้นที่บางส่วนของซาปอริซเซียและเคอร์ซอน แม้จะไม่กี่ตารางกิโลเมตร เพื่อให้เป็น ‘สะพานเชื่อม’ (Landbridge) ที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียไปยังไครเมียได้

 

เป้าหมายหลักของรัสเซียคือ ‘การเป็นมหาอำนาจในทะเลดำ’ ซึ่งต้องมีทั้งไครเมียและแผ่นดินใหญ่ที่เชื่อมต่อกัน ผ่านทั้ง 4 แคว้นหลัก โดย ดร. อดุลย์ มองว่า ยูเครนแม้จะไม่เต็มใจให้โดเนตสก์และลูฮันสก์ แต่ก็จำเป็นต้องให้ ขณะที่ ซาปอริซเซียและเคอร์ซอน รัสเซียอาจเสนอด้วยการแลกเปลี่ยนว่า จะคืนดินแดนส่วนใหญ่ที่ยึดครองไปเกือบทั้งหมดใน 2 แคว้นนี้ให้ แต่ขอเพียงพื้นที่บางส่วนที่เชื่อมต่อกันมาจนถึงไครเมียเท่านั้น

 

ขณะที่อาจารย์จิราพร ชี้ว่า ท่าทีผ่อนปรนดังกล่าวอาจเป็นหลักการที่ว่า ‘ได้ส่วนน้อย ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ไปทั้งหมด’ ปัญหาที่แท้จริงในดอนบาส เกิดขึ้นจากการปะทะกันทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ประเด็นทางการทหาร การยอมลดเงื่อนไขอาจเป็น ‘การโยนหินถามทาง’ เพื่อใช้เป็นโมเดลกับพื้นที่อื่น โดยใช้ผู้คนท้องถิ่นในพื้นที่นั้นๆ เป็นตัวละครสำคัญในการแผ่ขยายอิทธิพลรัสเซีย 

 

ทางด้าน พงศ์พล กล่าวเสริมด้วยการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนดอนบาสและไครเมียแล้ว พวกเขาจำนวนมากมีความสุขที่ได้มีพาสปอร์ตรัสเซีย และมองว่า ‘ตนเองได้กลับบ้านอีกครั้ง’ ซึ่งตรงข้ามกับภาพที่สื่อตะวันตกมักนำเสนอว่า พื้นที่เหล่านั้น ‘ถูกยึดครอง’ ทั้งๆ ที่พื้นที่เหล่านั้นมีวัฒนธรรมรัสเซียหลอมรวมอยู่มาก อีกทั้งคนในพื้นที่เหล่านั้น โดยเฉพาะไครเมียต่างชื่นชมปูติน และมองพื้นที่ดังกล่าว เป็น ‘พื้นที่ที่ได้รับการปลดปล่อย’ (Liberated Area)

 

รัสเซียยินยอมให้ยุโรปและสหรัฐฯ สร้างหลักประกันความมั่นคงให้ยูเครน

 

ดร. อดุลย์ ยอมรับว่า รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีนี้ของปูติน พร้อมระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความยืดหยุ่นสูง กติกาต่างๆ สามารถเขียนและกำหนดร่วมกันได้โดยทุกฝ่าย ที่ผ่านมารัสเซียมองว่า NATO เป็นภัยคุกคาม แต่ข้อตกลงใหม่นี้ (ที่คล้ายมาตรา 5 ของ NATO) มีความยืดหยุ่นและรัสเซียยอมรับได้

 

ที่สำคัญคือ ดร. อดุลย์ มองว่า ‘รัสเซียลอยตัวแล้ว’ เพราะมีแนวโน้มที่จะได้สิ่งที่ต้องการตามเป้าหมายที่วางไว้ (แลนด์บริดจ์เชื่อมถึงไครเมีย) รัสเซียไม่ได้สนใจว่า สหรัฐฯ และยุโรปจะเข้ามารักษาความมั่นคงให้ยูเครนอย่างไร เพราะรัสเซียมองว่า ‘สัญญาในวันนี้คือสัญญาในวันนี้’ หากในอนาคตสัญญาไม่เป็นไปตามที่ตกลง รัสเซียก็พร้อมที่จะฉีกสัญญาและดำเนินการต่อไป หากมีเงื่อนไขว่าอีกฝ่ายละเมิดก่อน

 

ทางด้านอาจารย์จิราพร ระบุว่า ทรัมป์และปูตินยอมรับเงื่อนไขการสร้างหลักประกันความมั่นคงที่ ‘ไม่ใช่ NATO’ ซึ่งเป็นความพยายามที่ทรัมป์จะสร้างสมดุลระหว่างรัสเซียและยุโรป ในขณะที่การสร้างสมดุลระหว่างยูเครนและรัสเซีย ‘ยังไม่เกิดขึ้น’ กล่าวคือ ต้องมีการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งจริงๆ ก่อน ซึ่งเท่ากับว่าจะเป็น ‘การผลักภาระไปให้ยูเครน’ 

 

โดยยุโรปเสนอให้ใช้กลไกทางการทหาร ส่วนทรัมป์เสนอภาพแผนที่พื้นที่ที่ยูเครนถูกรัสเซียถือครอง ซึ่งอาจเป็นการเสนอการจัดระเบียบพื้นที่ตามข้อตกลง เพื่อให้รัสเซียได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าไปจัดการดูแลพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งอาจจะเหลือแค่พื้นที่ในดอนบาส และไครเมีย (ที่รัสเซียถือครองโดยพฤตินัยอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี 2014) อาจารย์จิราพร จึงมองว่า สถานการณ์ฝ่ายยูเครนถูกโน้มเอียง อีกทั้งบทบาทของเซเลนสกีในที่ประชุมครั้งล่าสุดที่ทำเนียบขาวก็ไม่ปรากฏชัด นี่อาจเป็น ‘การลดทอนสถานภาพและบทบาทของผู้เจรจา’ ของยูเครน เพราะเริ่มมีการถามถึงการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการลดอำนาจต่อรองของเซเลนสกี และโยนภาระหนักไปที่ยูเครนว่า สุดท้ายแล้วยูเครนจะเลือกทางไหน

 

เมื่อสงครามยืดเยื้อนำไปสู่ ‘ความเหนื่อยล้าของผู้คน’ ซึ่งยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะมองเช่นเดียวกันนี้ในสายตาของอาจารย์จิราพร หากเซเลนสกีไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้แก้ไขปัญหา ภาพลักษณ์ของเขาอาจถูกลดทอนลงอีก 

 

ทางด้าน พงศ์พล ชี้ว่า ท่าทีนี้ของรัสเซียน่าสนใจอย่างมาก เพราะการที่กองกำลังต่างชาติจะเข้ามาในยูเครน ถือเป็น ‘เส้นแดง’ ของรัสเซียมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งสาเหตุสำคัญของสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ยูเครนมีนโยบายยั่วยุ (Provocative Policy) เช่น การนำกองเรือสหรัฐฯ มาซ้อมรบในทะเลดำใกล้ไครเมียเกือบทุกไตรมาส ซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่ยอมให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปูตินยอมให้ยุโรปและสหรัฐฯ สร้างหลักประกันความมั่นคงให้ยูเครน พงศ์พล อธิบายว่า เป็นเพราะ (1) ความสามารถในการสื่อสารกับทรัมป์ โดยปูตินมองว่า สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์สามารถพูดคุยกันได้ แตกต่างจากสมัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มาจากพรรคเดโมแครตที่รัสเซียไม่สามารถเจรจาด้วยได้  หากผู้นำสหรัฐฯ เปลี่ยนไปในอนาคต นโยบายนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง

 

(2) การแสดงความเคารพและให้เกียรติจากสหรัฐฯ โดยทรัมป์ส่งเครื่องบินรบประกบเครื่องบินของปูติน ขณะที่เดินทางมาเยือนรัฐอะแลสกาในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการ ‘ให้เกียรติสูงสุด’ ต่อผู้นำรัสเซีย

 

(3) ผลประโยชน์จากภาพลักษณ์เชิงบวกของปูตินต่อบริบทภายในประเทศ โดยปูตินอาจใช้ผลงานนี้ นำไปโฆษณาความสามารถของตนเองภายในประเทศได้ หลังจากที่สู้รบมานานกว่า 3 ปี สุดท้ายสหรัฐฯ ก็ต้องยอมกลับมาคุยกับรัสเซีย โดยพงศ์พล ระบุว่า นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่จากศูนย์ แต่เป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ (Renormalization) ให้กลับมาสู่ภาวะปกติและอยู่ในจุดที่ ‘สูงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว’

 

ภาพ: Alexander Drago / Reuters

 

อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น 

 

นี่คือ 4 ฉากทัศน์ที่ประมวลจากการสัมภาษณ์

 

ฉากทัศน์แรก: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันได้’ โดยยูเครนยอมยกโดเนตสก์และลูฮันสก์ให้กับรัสเซีย ขณะที่รัสเซียต้องให้สหรัฐฯ และยุโรปมาเป็น ‘ผู้ค้ำประกันความมั่นคง’ ให้กับยูเครน ซึ่งอาจมีมาตรการคล้ายกับมาตรา 5 ของ NATO ส่วนสหรัฐฯ จะต้องนำผลประโยชน์ของตนเองเข้ามาอยู่ในยูเครน เพื่อยืนยันการค้ำประกันอย่างจริงจัง หากมีการสู้รบใดๆ เกิดขึ้นอีก นั่นหมายถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ก็จะได้รับผลกระทบด้วย

 

ฉากทัศน์สอง: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันไม่ได้’ โดยตัวแปรสำคัญคือชาติยุโรป ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการเสียดินแดน  หรืออาจยอมให้เสียดินแดนได้ แต่มีเงื่อนไขว่ารัสเซียจะต้องไม่มีแลนด์บริดจ์เชื่อมกับไครเมีย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากในมุมมองของ ดร. อดุลย์ที่รัสเซียจะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ จึงจะต้องมีการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อเพิ่มเติมในสายตาของยูเครนและยุโรป

 

ดร. อดุลย์ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่เซเลนสกีจะปฏิเสธเงื่อนไขเรื่องดินแดน แต่อาจไม่ได้มาจากตัวเขาเอง โดยชาติยุโรปจะเป็นตัวแปรสำคัญในประเด็นนี้ อีกทั้งยังมองว่า การเมืองยูเครนขณะนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของประชาชน แต่เป็นเรื่องของการเมืองในยุโรปทั้งหมด รวมถึงในสหรัฐฯ ด้วย โดยที่ทรัมป์ก็เตรียมหา ‘ทางลง’ ให้กับเซเลนสกี เสนอแนะให้มีการเลือกตั้งผู้นำใหม่โดยเร็วที่สุดตามระบบประชาธิปไตย หลังจากมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพ เนื่องจากเซเลนสกีหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนมาสักระยะหนึ่งแล้ว และผู้นำคนใหม่ก็จะมารับภาระหน้าที่นี้ต่อจากเซเลนสกี หากเขาแพ้หรือไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย

 

ฉากทัศน์สาม: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันไม่ได้’ โดยยูเครนยังยืนยันที่จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้กับรัสเซีย ก็อาจจะทำให้สงครามระหว่างทั้งสองประเทศยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะ ยูเครนยังคงต้องพึ่งพายุโรป รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น โปแลนด์ และรัฐบอลติก หากสหรัฐฯ ประกาศไม่สนับสนุนงบประมาณทางด้านการทหารต่อยูเครนในอนาคต โดย พงศ์พล กล่าวเสริมว่า หากฉากทัศน์นี้เกิดขึ้น จะสะท้อนสัจธรรมของโลกที่ไม่ว่าจะรบกันนานแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมาคุยกันอยู่ดี  หากยูเครนไม่ตกลง สงครามก็อาจดำเนินต่อไปในลักษณะ ‘งูกินหาง’ 

 

ฉากทัศน์สี่: อาจนำไปสู่ตัวแบบ ‘รัฐกึ่งเอกราช’ หรือ ‘พื้นที่สุญญากาศ’ (Vacuum Zone) โดยอาจารย์จิราพร มองว่า เมื่อความเหนื่อยล้าทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น อีกทั้งคนในดอนบาสหรือคนท้องถิ่นอื่นๆ เบื่อหน่ายรัฐบาลกลางจริงๆ อาจนำไปสู่ตัวแบบข้างต้นที่มีลักษณะแยกออกมาเป็น ‘รัฐลอยๆ’ ไม่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล เช่น อับคาเซียและเซาท์ออสซีเชียในจอร์เจีย ที่รัสเซียมีอิทธิพลในการจัดการสังคมดินแดนเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นการแบ่งปันอำนาจการปกครองระหว่างกลุ่มการเมืองในภูมิภาค

 

ขณะที่พงศ์พล มองว่า ในทางปฏิบัติ รัสเซียถือว่าโดเนตสก์และลูฮันสก์เป็น ‘สาธารณรัฐประชาชน’ (People’s Republics) ซึ่งมีสถานะเป็น ‘รัฐเอกราช’ อยู่แล้ว ซึ่งคล้ายกับอับคาเซียและเซาท์ออสซีเชียที่รัสเซียให้การยอมรับเอกราชเช่นกัน หากยูเครนยอมรับสถานะกึ่งเอกราชเหล่านี้ รัสเซียก็อาจไม่ผนวกดินแดน (ทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย) แต่ให้คงไว้เป็นสาธารณรัฐหรือบัฟเฟอร์โซน

 

ส่วนในกรณีของไครเมีย พงศ์พล อธิบายว่า มีจุดต่างกันเล็กน้อยตรงที่ไครเมียมีการทำประชามติแยกเป็นเอกราชก่อน เมื่อยูเครนไม่ยอมและมีการสู้รบ รัสเซียจึงผนวกเข้าไปโดยตรง ขณะที่ความขัดแย้งกับจอร์เจียจบเร็วกว่า ทำให้พื้นที่กึ่งเอกราชอย่างอับคาเซียและเซาท์ออสซีเชีย ไม่ถูกรัสเซียผนวกรวมเข้ามา แต่ยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่เหล่านี้

 

สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะยุติลงในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือไม่

 

ดร. อดุลย์ เชื่อว่า จะเป็นเช่นนั้น โดยคาดการณ์ว่า ทุกอย่างจะจบลงภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2026 เนื่องจากว่า มีสงครามครั้งใหญ่ระหว่าง สหรัฐฯ-พันธมิตร กับจีน-กลุ่ม BRICS รออยู่ ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯ กำลังเคลียร์หลังบ้าน เพื่อให้มีกำลังและพันธมิตรในการเผชิญหน้ากับกลุ่ม BRICS ในอนาคต

 

ปัจจุบัน สหรัฐฯ เหมือนเป็น ‘One Man Show’ เพราะยุโรปกำลังติดพันอยู่กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน หากเรื่องนี้คลี่คลายลง ความสัมพันธ์กับรัสเซียจะกลับมาเป็นปกติ ต้นทุนพลังงานและเศรษฐกิจที่ยุโรปต้องจ่ายแพงก็จะลดลง การคว่ำบาตรรัสเซียก็จะหมดไป ถึงตอนนั้น สหรัฐฯ จะสามารถเดินหน้าไปพร้อมกับยุโรปที่ ‘ติดอาวุธ’ ในด้านการค้าและเศรษฐกิจ เพื่อแข่งขันกับกลุ่ม BRICS ได้ในอนาคต

 

ดร. อดุลย์ ยังมองว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทรัมป์จะได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ทรัมป์กำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดนั้น เพื่อแสวงหาความพึงพอใจในการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เวลานี้จึงเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นสำหรับทุกฝ่าย ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้ก็อาจจะ ‘ไม่มีโอกาสอีกแล้ว’

 

ทางด้านอาจารย์จิราพร ระบุว่า สงครามครั้งนี้อาจ ‘สงบศึก’ ได้ประมาณ 70% แต่เป็นเหมือนอยู่ในม่านหมอก ซึ่งอาจกลับมารุนแรงอีกก็ได้ เมื่อหมดวาระของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยปัจจัยสำคัญคือ การเมืองท้องถิ่นภายในของยูเครน หากการเมืองภายในมั่นคงและประนีประนอมกับรัสเซียได้แบบในอดีต สงครามก็อาจจะยุติลงได้

 

สอดคล้องกับ พงศ์พล ที่มองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะยุติได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะยั่งยืนถาวรหรือไม่ โดยทรัมป์ต้องการสร้างภาพลักษณ์เป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ (Peacemaker) และจะทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โดยไม่สนใจว่าใครจะได้หรือเสียอะไร การที่สงครามดำเนินมาถึงจุดที่รัสเซียได้เปรียบ และทรัมป์เข้ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ก็จะทำให้เขาสามารถอ้างผลงานได้ แม้จะยุติลงเพียงชั่วคราว ก็ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของทรัมป์แล้ว

 

สิ่งที่น่าจับตามองของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

 

ดร. อดุลย์ ระบุว่า สิ่งที่น่าจับตาอันดับแรกคือ การเจรจาข้อแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่ายว่า ‘ความพอดี’ ของแต่ละฝ่ายอยู่ตรงไหน เพราะนี่จะเป็นตัวชี้วัดว่าสงครามจะจบหรือไม่

 

สิ่งที่สองคือ อยากให้จับตาดูกลยุทธ์และทักษะของโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างใกล้ชิด เพราะเขาถือเป็นต้นแบบของนักเจรจาและนักต่อรอง ที่สามารถปิดดีลสำคัญของโลกได้ ประเทศไทยอาจจะต้องถอดบทเรียนบางอย่างจากสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะในบริบทของภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต และมีเครื่องมือที่หลากหลายในการเจรจาต่อรอง

 

ขณะที่พงศ์พล กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์นี้มีความซับซ้อน ไม่ได้เป็นไปตามตำราวิชาการทั้งหมด และเน้นย้ำว่าสงครามไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากพัฒนาการของสถานการณ์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเสียมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องยอม เพราะ ‘เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย’

 

แฟ้มภาพ: Getty Images / Reuters / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising