ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยยังเผชิญไปด้วยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 นี้ โดยเฉพาะประเด็นภาษีสหรัฐฯ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าจะจบแบบไหน ตลาดหุ้นไทย-หุ้นโลกจะไปต่อแบบไหน
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโส ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) (อินโนเวสท์เอกซ์ (Innovest X) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ถึงมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนในสภาวะที่ตลาดหุ้นโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยสำคัญ สิ่งที่สหรัฐฯ ทำกับประเทศต่างๆ คือการบีบบังคับให้เปิดเสรีทางการค้า หรือลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ให้เหลือ 0% ซึ่งหมายความว่า US Win เท่านั้น หรือสหรัฐฯ ชนะเพียงประเทศเดียว ไม่มีประเทศอื่นได้ประโยชน์ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม การบรรลุข้อตกลงใดๆ ก็ตามถือเป็นการลดความเสี่ยงจากการตอบโต้ที่อาจบานปลาย สิ่งที่น่าจับตาคือหากสหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์เดียวกับประเทศใหญ่ๆ อย่างญี่ปุ่นหรือยุโรป ว่าจะมีการตอบโต้กลับมาในรูปแบบใด
จับตา Stagflation ในสหรัฐฯ-Deflation ในจีน
ตลาดโลกกำลังเผชิญกับสองสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยสหรัฐอเมริกาเผชิญภาวะ Stagflation คือเงินเฟ้อยังคงสูงในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้การลดดอกเบี้ยเป็นไปได้ช้า และค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า
ขณะที่จีนเผชิญภาวะ Deflation คือเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อต่ำ จีนกำลังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีมาตรการควบคุม Price War หรือสงครามราคาในบางอุตสาหกรรม เพื่อรักษาเสถียรภาพ
ผลประกอบการแบงก์สหรัฐฯ ชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2025 ชะลอตัวลง สะท้อนถึงผลกระทบทางตรงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นจากการที่ตลาดหุ้นยังคงไปต่อ การเทรดหุ้น, การเทรดตราสารหนี้, การควบรวมกิจการ (M&A), และการทำไอพีโอ ยังคงคึกคัก หากตลาดหุ้นยังคงเป็น Bull Market กลุ่มธนาคารที่มีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสูง เช่น Goldman Sachs, Morgan Stanley, และ JP Morgan ยังคงมีโอกาสทำผลงานได้ดี
ในด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จีนยังคงกระตุ้นต่อเนื่อง ยุโรปเน้นการใช้จ่ายผ่าน NATO ส่วนสหรัฐฯ รอมาตรการ One and Big Beautiful Bill และนโยบายการลดภาษีในช่วงที่เหลือของปีนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จุดสูงสุดและปัจจัยความเสี่ยง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ S&P 500 ได้ทำ All-time high ไปแล้ว พร้อมทั้งมองว่าอาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการปรับขึ้นรอบใหม่ แต่เป็นการเข้าสู่จุดที่ตึงตัวแล้ว โดยคาดการณ์ว่า S&P 500 อาจถึงระดับ 6,500 จุด ซึ่งถือว่าค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนการเติบโตของผลประกอบการไปพอสมควรแล้ว
ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ดังนี้
- การตอบสนองของราคาหุ้นต่อเศรษฐกิจ ซึ่งราคาหุ้นอาจไม่ตอบสนองต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือการลดดอกเบี้ยที่ช้า
- ผลประกอบการที่ต้อง Perfect โดยตลาดมีความคาดหวังสูงมาก หากผลประกอบการของบริษัทออกมาไม่สมบูรณ์แบบ อาจเกิดแรงเทขายได้
- ความเสี่ยงภาษี Pharma และ Semiconductor คือปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา โดยเฉพาะเรื่อง Semiconductor Tariff ซึ่งหากสูงกว่า 35% อาจเป็นจุดที่ทำให้ตลาดตอบสนองเชิงลบ ตัวเลขเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ กลยุทธ์ที่ควรเน้นคือตั้งรับ และลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า หันไปโฟกัสกลุ่มที่เน้นตลาดภายในประเทศของแต่ละประเทศมากกว่า เช่น
- กลุ่ม Telecom ถือเป็นธุรกิจพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย
- กลุ่มซอฟต์แวร์มีความยืดหยุ่นสูงต่อภาวะเศรษฐกิจ
- กลุ่มโรงไฟฟ้า ธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงและได้รับผลกระทบทางอ้อมน้อยหากเศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบ
กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศมีคำแนะนำ ดังนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เน้นกลุ่ม Technology, New Economy, กลุ่ม Defense เช่น RTX, Palantir
- ตลาดหุ้นจีน เน้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมสงครามราคา เช่น กลุ่มยูทิลิตี้, อีคอมเมิร์ซ และ Delivery
อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังหุ้นที่เผชิญการแข่งขันสูง เช่น JD JD.com หรือ Meituan ที่มีการแข่งขันที่มีความรุนแรง กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ Trade-in Subsidy เช่น China Retail Sales ที่ยังคงแข็งแกร่ง หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ Haier, Midea, CATL, Anta Sports
- ตลาดหุ้นยุโรป เน้นหุ้นกลุ่ม Defense เช่น Rheinmetall, BAE Systems, Thales
รวมถึงกลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ABB, BNP Paribas
มองหุ้นไทยแค่เด้งในตลาด Bear Market
แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลัง แต่มองว่าเป็นเพียงการเด้งในตลาดหมี หรือ Bear Market ไม่ใช่การเข้าสู่ตลาดกระทิง (Bull Market) เต็มตัว โดยสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทยเข้า Bull Market คือ
- เผชิญวิกฤตใหญ่ระดับโลกมาก่อน เช่น วิกฤตหนี้ยุโรป, วิกฤตการเงินโลก, หรือน้ำท่วมใหญ่
- การลดดอกเบี้ยที่รวดเร็วและรุนแรง ทั้งจากสหรัฐฯ และจีน
- มี Mega Project หรือ Stimulus ขนาดใหญ่กว่านี้: ไม่ใช่เพียงแค่ 1.57 แสนล้านบาท แต่ต้องระดับ 2-3 ล้านล้านบาท
โดยให้เป้าหมาย SET Index คาดการณ์ว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250 – 1,300 จุด ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท โดยมี Valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค และเสถียรภาพทางการเมืองที่เริ่มชัดเจนขึ้น
รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ดีขึ้น จะส่งผลดีต่อกลุ่มท่องเที่ยวในประเทศ
แนะนำหุ้นเด่นของไทยในไตรมาส 3/2025
- โรงพยาบาลขนาดเล็ก เช่น BCH, CHG, PR9
- กลุ่ม Defensive คือ กลุ่ม Telecom คือกองทุน DIF, ADVANC, TRUE
- กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน เช่น MTC ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ย
- กลุ่มที่รับความเสี่ยงสูง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถพิจารณา CPF, SCC หรือกลุ่มพลังงานที่ไม่ได้มีความคาดหวังในประเทศมากนัก โดยมองหาตลาดต่างประเทศหรือบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศสูง
- หุ้นกลุ่ม Commerce และท่องเที่ยว แม้จีนยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่ควรจับตาดูพัฒนาการ หากนักท่องเที่ยวจีนกลับมามากขึ้น กลุ่ม AOT, MINT, CENTEL จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ แต่คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้