ในความพยายามที่จะปลด เจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาโจมตี เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อีกครั้ง ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงิน ‘หลายแสนพันล้านดอลลาร์’ เพราะไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลที่พุ่งสูงเกือบแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์โพสต์จดหมายที่เขียนด้วยลายมือถึงพาวเวลบน Truth Social โดยระบุว่า “ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ทำให้ประเทศสูญเงินมหาศาล และยังทำให้สูญเสียต่อไป จริงๆ สหรัฐฯ เราควรจ่ายดอกเบี้ยเพียง 1% หรือถูกกว่านั้น” พร้อมพาดพิงไปถึงคณะกรรมการของ Fed ว่า หากทำหน้าที่อย่างเหมาะสม สหรัฐฯ จะสามารถประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ถึงล้านล้านดอลลาร์
แม้ข้อเรียกร้องของทรัมป์จะสะท้อนความกังวลต่อภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นตรงกันว่า การกดดัน Fed ให้ลดดอกเบี้ย หรือแม้กระทั่งปลด เจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) คาดว่า สหรัฐฯ จะจ่ายดอกเบี้ยในปีงบประมาณนี้สูงถึง 952,000 ล้านดอลลาร์ และอาจทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 346,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2020 ทำให้ดอกเบี้ยกลายเป็นงบรายจ่ายอันดับ 2 ของรัฐบาลกลาง แซงหน้า Medicare และงบกลาโหม โดยเป็นรองแค่ประกันสังคมเท่านั้น
แม้ทรัมป์จะเชื่อว่า การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระของประเทศได้โดยตรง แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่กำหนดต้นทุนของหนี้รัฐบาล ซึ่งครอบคลุมพันธบัตรทั้งระยะสั้น กลาง และยาว
ด้าน มาร์ค โกลด์ไวน์ จากคณะกรรมการงบประมาณ (CRFB) ชี้ว่า Fed มีอำนาจควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะยาว และหากลดดอกเบี้ยแรงเกินไป อาจยิ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพุ่งขึ้น จากความกังวลของอัตราเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ แนะนำว่า หากต้องการลดภาระดอกเบี้ย สหรัฐฯ ควรมุ่งเน้นที่การลดงบขาดดุลประจำปี แต่แนวทางนี้ต้องใช้ความกล้าทางการเมือง เนื่องจากต้องพิจารณาการปรับขึ้นภาษี หรือปรับลดสวัสดิการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องอ่อนไหวทั้งหมด
แม้แผนของทรัมป์จะมีข้อเสนอให้ลดรายจ่ายภาครัฐอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านสวัสดิการ แต่ในอีกด้าน เขายังเสนอลดภาษีในวงกว้าง ซึ่งมูลค่ารวมมากกว่าการลดการใช้จ่ายเสียอีก ทำให้งบขาดดุลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลง
