เช้าวันนี้เป็นอีกวันที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อรับฟังการไต่สวน คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง เป็นจำเลยฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริต จนรัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

     ท่ามกลางบรรยากาศที่มีประชาชน นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย และสื่อมวลชนเกาะติดทำข่าวจำนวนมาก เป็นภาพที่เกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่อดีตนายกฯ ต้องมาศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดี

ยกร้องขอศาลเดินเผชิญสืบโรงข้าวและคลังข้าว

     ไฮไลต์สำคัญในวันนี้ เป็นการรับฟังการไต่สวนพยานจำเลยในนัดที่ 13 เมื่อดูจากบัญชีนัดความที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้กำหนดลงวันที่ 2 มิ.ย. 2560 นั้น ไม่ปรากฏวันไต่สวนพยานคดีจำนำข้าวอีกหลังวันที่ 21 ก.ค. 2560 และศาลได้นัดไต่สวนครั้งต่อไปคือวันที่ 7 และ 21 ก.ค. 2560 ทำให้เหลืออีกเพียง 2 ครั้งก็จะเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานจำเลยในคดีนี้

     แต่ยังเหลือพยานที่ต้องนำเข้าไต่สวนในคดีนี้อีกประมาณ 15 ปาก ซึ่ง นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของอดีตนายกฯ เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า จะเป็นหน้าที่ของทางทีมทนายที่จะบริหารจัดการพยานปากที่เหลือ เพราะเหลือการไต่สวนอีกเพียง 2 นัด ขณะเดียวกันก็มีความยากในการติดตามพยานบางคนด้วย

     สำหรับการไต่สวนพยานจำเลยวันนี้ มีพยานเข้าไต่สวนจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วย นายอดุลย์ ยุววิทยาพานิชย์ อดีตข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการจีทูจี โดยจะสืบพยานเพื่อยืนยันว่าผลการสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีเป็นการซื้อขายจริง ไม่ใช่จีทูจีเก๊อย่างที่กล่าวหา

     ส่วนพยานอีกสองปากคือ นางสาวนิรัชฌา ไกยสวน ลูกของชาวนาที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายที่จังหวัดร้อยเอ็ด จะมาชี้แจงยืนยันว่าบิดาไม่ได้มีปัญหาการรับเงินจากโครงการรับจำนำข้าว แต่มีปัญหาส่วนตัวและโรคประจำตัว และพยานสุดท้ายคือ นายบุญช่วย หอมพญา บิดาของชาวนาที่เสียชีวิตจากการตายผูกคอตายที่จังหวัดนนทบุรี ที่ยืนยันว่าเสียชีวิตจากปัญหาส่วนตัว

     ขณะที่ในวันนี้ ทนายความ ได้มีการยื่นคำร้องขอให้ศาลออกไปเผชิญสืบโรงสีข้าวและคลังข้าวจังหวัดอ่างทอง 16 แห่ง ที่ล่าสุดพบว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปตรวจสอบแต่ไม่พบความเสียหายและการทุจริต ซึ่งจะเป็นหลักฐานใหม่ที่จะยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวของตนเองไม่ได้ทุจริตและเน่าเสียอย่างที่ถูกกล่าวหา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการร้องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว แต่ไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา

     ล่าสุด มีผลการพิจารณาของศาลออกมาแล้ว โดยศาลได้พิจารณาคำร้องฝ่ายจำเลยที่ขอให้ศาลเดินเผชิญสืบโรงสีข้าวและคลังข้าว เพื่อตรวจสอบให้พบความจริงว่าข้าวเสียหรือไม่นั้น นายนรวิชญ์ เปิดเผยว่า ศาลเห็นว่าข้าวนั้นเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่เสื่อมได้ตามกาลเวลา โดยทางกายภาพ และขณะนี้ผ่านมาเป็นเวลา 2 ปีเศษแล้ว ถือว่ากรณีนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริง การเดินเผชิญสืบจึงไม่จำเป็นแก่คดี ให้ยกคำขอของจำเลย และนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งต่อไปในวันที่ 7 ก.ค. นี้ เวลา 09.30 น.

คาดมีคำพิพากษาเดือนสิงหาคม

     สำหรับ การเดินเผชิญสืบ หมายถึง การที่ศาลเจ้าของสำนวนนั้น ออกไปสืบพยานหลักฐานเอง ซึ่งเป็นการสืบพยานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นพยานเอกสาร บุคคล วัตถุ สถานที่ หรือผู้เชี่ยวชาญนอกอาคารที่ทำการศาล

     และเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 229 ซึ่งวางหลักไว้ว่า ศาลเป็นผู้สืบพยาน จะสืบในศาลหรือนอกศาลก็ได้ แล้วแต่เห็นควรตามลักษณะของพยาน และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 230  แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2551 ก็ได้วางหลักเกี่ยวกับการเดินเผชิญสืบของศาลไ้ว้เช่นกัน

     หลังจากนี้คงต้องติดตามการไต่สวนพยานของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอีก 2 นัด และจากนั้นจะเป็นขั้นตอนที่ศาลจะให้เวลาคู่ความในการแถลงปิดคดีด้วยวาจาหรือยื่นเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 7 วัน

     จากนั้นกฎหมายกำหนดกรอบเวลาของศาลที่ต้องนัดฟังคำพิพากษาใน 7 วัน หลังคู่ความแถลงปิดคดีและเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่หากมีเหตุอันสมควรสามารถเลื่อนออกไปได้อีก 14 วัน ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ม.32 ซึ่งหากดูตามไทม์ไลน์แล้ว เป็นไปได้ว่าคำพิพากษาน่าจะออกมาภายในเดือนสิงหาคมนี้

Photo: อัจฉรา ตรงสวัสดิ์ ผู้สื่อข่าว PEACE TV