×

SCB EIC ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยจากผลกระทบภาษี ‘ทรัมป์’ ใกล้ครบเส้นตาย 90 วัน เจรจาการค้า ผลสรุปจะออกแบบไหน

24.06.2025
  • LOADING...

ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน โดยเฉพาะจากประเด็นเส้นตายระยะเวลา 90 วัน ของ Reciprocal Tariffs ที่สหรัฐฯ ขยายเวลาให้กับประเทศคู่ค้าเข้ามาเจรจา แต่มีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีบางสินค้าได้

 

ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า นโยบาย Reciprocal Tariffs ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยกรอบเวลา 90 วันของการเจรจาที่ยืดออกไป กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้

 

อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่สามารถบรรลุข้อตกลงในการลดภาษีบางสินค้าได้ โดยประเมินว่าความไม่แน่นอนหลังช่วง 90 วันนั้นมีสูงมาก หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนหรือวันเวลาที่แน่นอนสำหรับการเจรจา แม้จะมีการเจรจาเพื่อลดภาษีบางสินค้าเกิดขึ้น แต่คาดว่า ภาษี 10% ที่เก็บแบบทั่วไป (Universal Tariff) น่าจะยังคงอยู่

 

ทั้งนี้ จากงานศึกษาในอดีตแสดงให้เห็นว่าการเจรจาลดภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยใช้เวลาเฉลี่ย 1.5 ปี ดังนั้น การเจรจาให้สำเร็จภายในเวลา 3 สัปดาห์ที่เหลือนั้นเป็นไปได้ยาก ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้น คาดว่าการเจรจาอาจต้องใช้เวลามากขึ้น อาจมีการเลื่อนออกไปอีก หรืออาจกลับมาใช้มาตรการ Reciprocal Tariffs เต็มรูปแบบ แต่โดยพื้นฐานแล้ว เชื่อว่าการเจรจาจะมุ่งเน้นไปที่การลดภาษีเฉพาะสินค้ามากขึ้น

 

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเสี่ยงภาวะถดถอยทางเทคนิค

 

ดร.ปุณยวัจน์ กล่าวต่อว่า SCB EIC ยังคงประมาณการ GDP ของไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% และปีหน้าที่ 1.4% ซึ่งหมายความว่า GDP ไทยจะเติบโตต่ำกว่า 2% ติดต่อกันถึง 2 ปี สะท้อนถึงแรงกดดันหลายประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

 

  • ภาคการท่องเที่ยว จากที่เคยเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นแรงส่งที่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยติดลบทุกเดือนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้เหลือเพียง 34 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน

 

  • การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า ภาคเอกชนจึงมีแนวโน้มที่จะชะลอการลงทุน

 

  • การบริโภคภาคเอกชน แม้จะมีความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่การปรับลดประมาณการการบริโภคก็เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเลื่อนโครงการกระตุ้นการบริโภค เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ออกไป ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องก่อนประเด็นการเมืองล่าสุดด้วยซ้ำ

 

โดยหากตัวเลขเศรษฐกิจเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ซึ่งหมายถึงการที่ GDP เติบโตติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าติดต่อกัน 2 ไตรมาสขึ้นไป โดยเฉพาะไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้มีโอกาสสูงที่โมเมนตัมที่ GDP จะเติบโตติดลบ

 

นอกจากนี้ มีข้อสังเกตที่น่าห่วงว่า การเปิดธุรกิจใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ติดลบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมานานกว่า 3-4 ปี สะท้อนถึงการชะลอตัวอย่างมากของการลงทุนและการขยายตัวทางธุรกิจ ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME ก็ทำได้ยากขึ้น

 

คาด กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง

 

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ คาดว่า กนง.อาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อประเมินสถานการณ์ แต่ในภาพรวม SCB EIC ประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสการปรับลดลงได้อีก 2 ครั้ง มาอยู่ที่ 1.25%

 

แม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.75% แต่เมื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง โดยนำอัตราดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อ ซึ่งอยู่ที่ 1% ถือว่ายังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 0% หรือ -0.1% อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ยังมีช่องว่างให้ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก ประกอบกับสถานการณ์ความเปราะบางของเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่งในภูมิภาค และคุณภาพสินเชื่อที่ยังด้อยอยู่ เป็นปัจจัยที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจ

 

โอกาส-ความเสี่ยงของธุรกิจไทย ท่ามกลางความท้าทาย

 

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่มองว่ามีโอกาสในบางกลุ่มธุรกิจที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกได้:

 

  • ธุรกิจที่ตอบโจทย์กฎระเบียบและความยั่งยืน หรือสามารถปรับตัวให้สอดรับกับกฎระเบียบและแนวคิดใหม่ๆ ของโลก จะยังคงมีโอกาสเติบโต

 

  • ธุรกิจที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าศักยภาพสูง

 

  • กลุ่มบริการและโรงแรม (Hospitality) หากเป็นธุรกิจที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลักอาจเผชิญความยากลำบาก แต่หากสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพจากตลาดอื่น เช่น อินเดีย ยุโรป หรือตะวันออกกลาง รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Medical Tourism หรือ Health & Wellness ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต

 

  • กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม: ธุรกิจที่เน้นสินค้ากลุ่มพรีเมียม หรือสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและความยั่งยืน จะยังคงมีโอกาสขยายตัวได้

 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้ายังคงเผชิญกับแรงกดดันรอบด้านจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทั้งจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ ภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนที่หดตัว และการบริโภคที่ลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคได้

 

อย่างไรก็ตาม ในความเสี่ยงก็ยังมีโอกาสสำหรับภาคธุรกิจที่สามารถปรับตัว ตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และให้ความสำคัญกับเทรนด์ใหม่ๆ ของโลก เช่น ความยั่งยืน และการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการมองหาตลาดใหม่ๆ และการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม จะเป็นกุญแจสำคัญในการประคองธุรกิจให้รอดพ้นจากความผันผวนนี้ และคว้าโอกาสในการเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising