รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะ ‘ราคาพลังงาน-เงินทุนเคลื่อนย้าย’ เรียกเอกชนประชุม เตรียมรับมือ หากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ‘ยกระดับ’
วันนี้ (23 มิถุนายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะมุ่งติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในด้านราคาพลังงานและเงินทุนเคลื่อนย้าย
พิชัยกล่าวอีกว่า ในด้านราคาพลังงาน พบว่า ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ โดยมีสินค้าไม่กี่ชนิดที่ส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เช่น ราคาพลังงาน สินค้านำเข้าบางชนิด เช่น ปุ๋ย และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องจับตาดูสินค้าเหล่านี้
พิชัยมองอีกว่าราคาพลังงานในประเทศปัจจุบันยังอยู่ในระดับ ‘รับมือได้’ แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลก็สามารถใช้มาตรการต่างๆ ได้ รวมไปถึงการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาอุดหนุนราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม พิชัยมองว่าการใช้มาตรการรับมือต่างๆ ต้องทำในระดับที่เหมาะสม โดยในระยะยาวควรเน้นไปที่การเพิ่มรายได้มากกว่าการอุดหนุนราคา
พิชัยเรียกภาคเอกชน หากความขัดแย้งไทย-กัมพูชายกระดับ
การให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเช้า พิชัยเป็นประธานการประชุมการเตรียมตัวของภาคเอกชนและผลกระทบหากมีการยกระดับความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แก่ สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วม
โดยพิชัยระบุว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์กำลังเปราะบางและต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุด โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา ได้เริ่มส่งสัญญาณที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ฝ่ายไทยยังคงมีท่าทีที่สุขุม รอบคอบ และให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในฐานะผู้กำกับดูแลเศรษฐกิจในภาพรวม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความเป็นไปได้ต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ ได้แก่
- ประการแรก: การประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน ทั้งจากการค้าชายแดน ภาคการผลิตที่พึ่งพาวัตถุดิบจากกัมพูชา ภาคการเงินที่มีธุรกิจและสาขาในกัมพูชา รวมถึงภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โทรคมนาคม หรือพลังงาน
- ประการที่ 2: การเตรียมมาตรการรองรับ โดยรัฐบาลพร้อมพิจารณาทั้งมาตรการด้านการเงิน เช่น Soft Loan การผ่อนปรนทางภาษี มาตรการโลจิสติกส์ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งจากทางบกเป็นทางเรือ ตลอดจนการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดน ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง ซึ่งวันนี้จะเปิดรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการและภาคเอกชน
พิชัยกล่าวอีกว่า การประชุมดังกล่าวในวันนี้เป็นเพียงการเตรียมการในเชิงเทคนิค เพื่อความพร้อมในการรับมือเท่านั้น ไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักสันติวิธี และให้ความสำคัญกับความมั่นคงร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน
ส่วนในประเด็นแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย “รัฐบาลไทยมีท่าทีที่ชัดเจนว่า ไม่ประสงค์จะผลักดันให้แรงงานต้องเดินทางกลับประเทศโดยไม่จำเป็น เพราะเราตระหนักดีถึงความสำคัญของแรงงานกลุ่มนี้ต่อระบบเศรษฐกิจไทย”