วันนี้ (27 พฤษภาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน จะขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมอง และความท้าทายต่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในช่วงบ่ายวันที่ 27 พ.ค. ว่า ตนเป็นรองนายกฯ ที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม และเป็นประธาน ป.ป.ส. ก็คงเดินทางไปฟังทักษิณปาฐกถา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวของทักษิณครั้งนี้มีผลทางการเมืองหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่คิดว่าสาเหตุที่ทักษิณไปงานในวันนี้ เนื่องจากเป็นคนมีความรู้ ประสบความสำเร็จ ก็ไม่มีอะไรน่าเสียหายที่จะไปปาฐกถา ซึ่งใครได้ฟังก็สามารถไปปรับใช้ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากทักษิณปรากฏตัววันนี้จะเป็นการกลบกระแสข่าวที่ระบุว่าอาจจะหนีคดีในวันที่ 13 มิถุนายนหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะนัดพร้อมคดีรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่ทราบ และเรื่องนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้ตอบแล้วว่า ทักษิณยังอยู่ดี อยู่ที่บ้าน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ที่สื่อมาถามสะท้อนให้เห็นว่าดราม่ามันเยอะ ดังนั้นสื่อก็ไม่ควรขยายดราม่า ควรจะตรวจสอบที่มาของข่าวก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้าเราวิ่งตามดราม่าก็จะไม่ได้ทำงาน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้คนไม่มั่นใจ เพราะทักษิณเคยหนีคดี ภูมิธรรมกล่าวว่า ใช้ประสบการณ์อย่างเดียวแล้วมาตัดสินใจไม่ได้ ต้องดูว่ามีเหตุมีผลหรือไม่ เพราะสภาพและเงื่อนไขเปลี่ยนไปเยอะ ไม่เหมือนกันต้องค่อยๆ ดู
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 13 มิถุนายน ทักษิณยังอยู่เพื่อต่อสู้คดีใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ขอให้ไปถามทักษิณช่วงบ่ายที่ ป.ป.ส. เอง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ระบุว่า พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ด้อยค่านายกฯ ด้วยการไม่เชิญไปพูดเรื่องยาเสพติด แต่กลับเชิญทักษิณแทน ภูมิธรรมกล่าวว่า “จะไปด้วยค่าอย่างไร สมมติว่าหากเชิญตนในเรื่องที่ชำนาญก็เชิญตนได้ อย่าคิดอะไรเป็นการเมืองหมดนะคุณโรม”
ศาลฯ ไม่ได้สั่งยิ่งลักษณ์ชดใช้จำนำข้าวหมื่นล้าน
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีศาลปกครองชี้แจงข้อกฎหมายคดี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังให้ชดใช้ค่าสินไหมโครงการจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลปกครองไม่ได้สั่งให้ยิ่งลักษณ์จ่าย แต่เป็นการเพิกถอนคำสั่งกระทรวงคลังส่วนที่ให้จ่ายเกิน 10,028 ล้านบาทนั้น
ภูมิธรรมกล่าวว่า ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งลักษณ์เป็นโจทก์ ในการยื่นเรื่องเสนอศาลปกครอง เพราะเห็นว่าการกำหนดรายละเอียดงบประมาณต่างๆ ไม่มีความชัดเจน และเมื่อศาลฯ ได้ดูรายละเอียดและมีคำตัดสินออกมา จากต้องชดใช้ค่าสินไหมโครงการรับจำนำข้าวที่ 3.5 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 1 หมื่นกว่าล้านบาท เนื่องจากคิดไม่ตรง และเกิดความผิดพลาด แต่ศาลฯ ไม่ได้สั่งบังคับว่าจะต้องไปจ่ายอะไร ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายมีความผิดพลาดตั้งแต่แรกที่กำหนดมา แสดงให้เห็นว่ามีปัญหา จึงมีช่องให้พิจารณา
นอกจากนี้สิ่งที่เป็นหลักฐานในยุคที่ตนเองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และมีการตรวจสอบข้าว 10 ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตนสามารถขายข้าวได้กิโลกรัมละ 18 บาท จึงเป็นคำถามว่า ในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการขายข้าวในราคา 3-5 บาทต่อกิโลกรัม ก็ต้องไปพิสูจน์กันว่าข้าวเสียได้อย่างไร ในเมื่อข้าว 10 ปียังขายได้ จึงสะท้อนให้เห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนพอสมควรเรื่องวิธีบริหารจัดการ
ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้สำหรับคดีของยิ่งลักษณ์ตอนนี้ ทนายความกำลังยื่นข้อมูล ซึ่งอาจจะนำหลักฐานจากที่ตนได้ดำเนินการไปประกอบให้ศาลฯ พิจารณาว่าเป็นข้อมูลใหม่ เพื่อพิจารณาหักลบค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องว่าไปตามกระบวนการ ในขณะที่กระทรวงการคลังก็มีหน้าที่ในการกำหนดข้อมูลและฟ้อง ส่วนนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งในฐานะที่มีปัญหาเกิดขึ้นภายในประเทศก็ต้องกำกับดูแล แต่ศาลฯ ไม่ได้สั่งให้นายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงการคลังดูแล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่รัฐบาลขายข้าวไปก่อนหน้านี้สามารถนำไปชดเชยกับค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ ภูมิธรรมระบุว่า หากคิดตัวเลขผิด ยอดเรียกค่าเสียหายก็ไม่ถึง และช่วงหลังที่ขายข้าวได้ราคาดีกว่า ค่าเสียหายก็ต้องลดลงไปอีก ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาตัวเลขหายไปกว่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การขายข้าวที่อยู่ในราคา 3-5 บาทจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ขายต่ำกว่าราคา ภูมิธรรมระบุว่า อยู่ในดุลพินิจของศาลฯ ที่จะมองประเด็นนี้อย่างไร หากถามว่า พิสูจน์ได้หรือไม่ว่า ขายในราคาต่ำกว่า ก็ต้องดูว่าในอดีตสื่อฯ พยายามขอเข้าไปดูโกดังข้าวแต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องดูว่าทนายความไปยื่นเรื่องในเงื่อนไขประเด็นใด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตามหลักการแล้ว เมื่อทนายความไปยื่นเรื่องร้องต่อศาลฯ ใหม่ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการคลัง ต้องรอให้ทุกอย่างจบกระบวนความก่อนดำเนินการใดๆ หรือไม่ ภูมิธรรมระบุว่า ต้องเห็นรายละเอียดทั้งหมดก่อน และมีเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่หรือไม่ ซึ่งตนมองว่าต้องรอให้ครบกระบวนการทั้งหมดจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ภูมิธรรมระบุว่า จำไม่ได้ว่าตัวเลขขายข้าวจำนวน 18 ล้านตันเป็นจำนวนเงินเท่าใด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เพราะเหตุใดผู้กระทำความผิดเรื่องเหมืองทองอัครา และเรือดำน้ำขาดเครื่องยนต์ ถึงไม่ต้องดำเนินการอะไร ภูมิธรรมระบุว่า แม้จะเป็นหน้าที่ตนก็ต้องดูก่อน ขณะนี้ตนยังไม่ตัดสินใจอะไร และต้องมีการชี้แจง ซึ่งผิดหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะศาลฯ ยังไม่ได้ตัดสิน แต่หากมองประเด็นเรื่องยิ่งลักษณ์เป็นมาตรฐาน ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นเรื่องเชิงนโยบาย หากผู้ที่ทำนโยบายตามที่ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งมา และไปเอาผิดกับผู้คุมนโยบาย ก็มีหลายเรื่องที่สะท้อนให้เห็น เช่น คดีของตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ก็มีความเกี่ยวข้อง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้พรรคเพื่อไทยจะกล้าผลักดันนโยบายหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า เรามีความมั่นใจว่านโยบายทุกอย่างผ่านการคิด และกลั่นกรอง และจะผลักดันอย่างเต็มที่ในแต่ละเงื่อนไขและสถานการณ์ที่มีความจำเป็นจะต้องปรับ แต่สิ่งที่เราแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจะเป็นแนวในการปฏิบัติ หากจะติดขัดอะไรก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเรามีความตั้งใจและมีเหตุผลในการเปลี่ยน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตามหลักการในฐานะเป็นผู้คุมนโยบาย หากทำให้เกิดความเสียหาย จะต้องมีส่วนในการชดใช้หรือไม่ต้องรับผิดชอบ ภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ที่ศาลฯ หากระบุว่าควรกำหนดนโยบาย มีความไม่ชอบมาพากล หรือเจตนาแฝง อาจจะต้องรับผิดชอบ แต่กรณีของยิ่งลักษณ์เป็นความเสียหายในกระบวนการบังคับใช้ หรือการปฏิบัติเรื่องการระบายข้าว ก็ไม่ควรจะเกี่ยวกับผู้บริหารหรือผู้คุมนโยบาย แต่ยอมรับว่ามันเกี่ยวพันกัน และมีกระบวนการคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อศาลฯ พิจารณาแล้วก็ต้องเคารพดุลพินิจ ยกเว้นว่ามีข้อมูลใหม่ว่าการตัดสินนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน