×

เป็นเพราะกาแฟหรือแกฟะ? นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเติมคาเฟอีนเพื่อให้เล่นดีขึ้น?

19.03.2025
  • LOADING...
นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรับคาเฟอีนก่อนลงสนามผ่านหมากฝรั่งคาเฟอีนแทนการดื่มกาแฟเพื่อให้ได้ผลเร็วกว่า

ไหน…มีใครชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจบ้าง?

 

อย่างที่เราทราบกันดี กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมสำหรับคนทำงานมาตั้งแต่โบราณกาล ในฐานะเครื่องดื่มที่จะช่วยเติมความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้แก่สมอง เพื่อที่จะสามารถทำงานทำการและสู้ชีวิตที่เหนื่อยล้าในแต่ละวันได้ (ผู้เขียนเองก็ซดลาเต้เย็นไปเรียบร้อยแล้วเช่นกันก่อนจรดแป้นพิมพ์คำแรก) เพราะมีสาร ‘คาเฟอีน’ เป็นองค์ประกอบสำคัญ

 

แต่รู้ไหมว่ากาแฟไม่ได้ดีแค่เฉพาะคนทั่วไปเท่านั้น

 

กาแฟและคาเฟอีนนั้นดีต่อนักกีฬาด้วย และกำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในฐานะซูเปอร์ตัวช่วยที่สำคัญที่อาจทำให้คว้าชัยชนะในสนามแข่งขันได้ด้วย! (เฮ้ย จริงเหรอ?)

 

พูดถึงกาแฟกับฟุตบอลแล้ว หนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกของ เจมี วาร์ดี ฮีโร่ของเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นกำลังสำคัญใน ‘เทพนิยายจิ้งจอก’ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2016 คือเรื่องกิจวัตรประจำวัน (Routine) ก่อนที่จะลงแข่งขันไว้

 

วาร์ดีเคยเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง From Nowhere: My Story ว่า ในแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมานั้นสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการเปิด Red Bull กระดกเอื้อกหมดกระป๋องแรกก่อน และจะไม่ยอมกินอะไรเลยจนกระทั่งถึงเวลา 11.30 น. ที่จะหม่ำไข่ออมเล็ตกับแฮมและชีส พร้อมด้วยถั่วกระป๋อง กินเสร็จจะตบท้ายด้วย Red Bull กระป๋องที่ 2

 

จากนั้นในระหว่างที่รอถึงเวลาแข่งเขาจะดื่ม Double Espresso เพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะเดินทางไปสนามเข้าห้องแต่งตัวก่อนเวลาแข่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถึงตอนนั้นก็ได้คิว Red Bull กระป๋องที่ 3 ที่เขาบอกว่าจะค่อยๆ จิบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาลงไปอบอุ่นร่างกาย ซึ่งจะเหลือติดก้นกระป๋องไว้นิดหน่อย ไว้จิบอึกสุดท้ายเมื่อกลับมาจากช่วงอบอุ่นร่างกายแล้ว

 

เรื่องนี้ฟังมีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง แน่นอนว่าสิ่งที่อาจจะสร้างสีสันได้มากหน่อยคือการดื่ม Red Bull ถึง 3 กระป๋องในวันเดียว รองลงมาคือกาแฟแบบ Double Espresso หรือเอสเพรสโซ 2 ช็อต เข้มจัดๆ

 

 

สำหรับกิจวัตรของวาร์ดีนั้นมุมหนึ่งอาจจะจะมองว่าเป็นการถือโชคถือลาง (Superstitious) ที่นักกีฬามักจะมีสิ่งที่ทำแล้วสบายใจก่อนลงแข่งขัน

 

แต่ในมุมคิดแบบวิทยาศาสตร์และโภชนาการแล้ว Red Bull 3 กระแป๋ง เอ้ย กระป๋อง กับกาแฟเข้มๆ นั้นมีนัยสำคัญซ่อนอยู่ สิ่งนั้นคือคาเฟอีน

 

Double Espresso นั้นโดยปกติแล้วจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ตั้งแต่ 70-120 มิลลิกรัม ขณะที่ Red Bull กระป๋องหนึ่งจะมีปริมาณคาเฟอีน 80 มิลลิกรัม ซึ่งนั่นหมายถึงถ้าดื่ม 3 กระป๋องจะมีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 240 มิลลิกรัมเลยทีเดียว 

 

พูดง่ายๆ คือวาร์ดีเติมคาเฟอีนเข้าร่างไปแล้วถึง 310-360 มิลลิกรัม แม้ว่ามันจะยังไม่เกินไปจากคำประกาศขององค์การ European Food Safety Authority ที่แนะนำว่าคนปกติไม่ควรรับปริมาณคาเฟอีนสูงเกินกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวันก็ตาม

 

แต่นั่นหมายความว่าคาเฟอีนที่ได้รับไปนั้นอาจเป็นความลับที่ทำให้เขาสามารถระเบิดฟอร์มการเล่นอย่างสุดยอดได้ในช่วงเวลานั้น (และยังยืนระยะได้อีกหลายปี) ใช่หรือไม่?

 

เรื่องนี้ ดร.ร็อบ นอตัน นักโภชนาการด้านประสิทธิภาพของนักกีฬา ซึ่งทำงานร่วมกับสโมสรกีฬาและนักฟุตบอลในระดับชาติหลายคนในนามของ INTRA Performance Group ออกมายืนยันว่า ปริมาณคาเฟอีนนั้นสามารถส่งผลต่อผลงานในการลงสนามได้จริง

 

เพียงแต่ต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น!

 

นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรับคาเฟอีนก่อนลงสนามผ่านหมากฝรั่งคาเฟอีนแทนการดื่มกาแฟเพื่อให้ได้ผลเร็วกว่า

 

โดย ดร.นอตัน ชี้ให้เห็นถึงกรณีของวาร์ดีว่าความจริงแล้วสิ่งที่กองหน้าดาวยิง ‘ราชาจิ้งจอก’ ทำนั้นไม่ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับทุกคน “เราไม่อยากจะแนะนำให้ใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนักฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกที่ทำประตูได้อย่างมากมายทำอะไรแบบนั้นแล้วทำตามเลยทันที”

 

ตามความเห็นของคุณหมอแล้วอย่างน้อยที่สุด “ควรจะเริ่มจากการลองปริมาณคาเฟอีนแค่เล็กน้อยก่อน อาจจะเป็นเอสเพรสโซช็อตหนึ่ง หรือหมากฝรั่งคาเฟอีนสักชิ้น แล้วค่อยลองหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเองดู”

 

โดยหลักซึ่งมีการค้นคว้าวิจัยกันมาแล้ว คาเฟอีนนั้นสามารถที่จะเพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ‘ในบางราย’ ได้จริง ซึ่งหนึ่งในผลที่เกิดขึ้นคือการลดความเหนื่อยล้าได้ เพราะในขณะที่ออกกำลังนั้นร่างกายจะผลิตสารที่เรียกว่าอะดีโนซีน ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อย ตรงนี้เป็นสิ่งที่คาเฟอีนจะมาช่วยในการกดสารอะดีโนซีนในระบบประสาท ทำให้สมองของเราจะรู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บปวดน้อยลง 

 

เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บน้อยลง ก็ทำให้เราลุยต่อได้มากขึ้น

 

ดร.นอตัน ยังอธิบายต่อว่า คาเฟอีนยังมีประโยชน์ต่อเรื่อง การวิ่งด้วยความเร็วสูงได้ดีขึ้น ทักษะ และการควบคุมร่างกาย ซึ่งสำหรับกีฬาอย่างฟุตบอลเป็นกีฬาที่นอกจากจะใช้ร่างกายมหาศาลแล้วยังใช้ทักษะอย่างมากไม่แพ้กัน คาเฟอีนจึงเป็นส่วนเติมเต็มที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

 

คำถามต่อมาที่น่าสนใจคือแล้วแบบนี้มันถูกนำมาใช้กับนักฟุตบอลระดับท็อปจริงๆ หรือเปล่า?

 

เรื่องนี้โค้ชฟิตเนสของสโมสรในระดับพรีเมียร์ลีกแห่งหนึ่ง (ซึ่งขออนุญาตสงวนนาม) ได้เปิดเผยกับ The Athletic ว่า มีนักกีฬาที่เติมคาเฟอีนเข้าร่างกายจริงแต่ไม่ใช่ทุกคน 

 

โค้ชฟิตเนสรายนี้ประเมินจากประสบการณ์ของตัวเองเชื่อว่ามีนักฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ที่เติมคาเฟอีนเข้าร่างกาย โดยไม่ได้มาจากการดื่มกาแฟแต่มาจากหมากฝรั่งที่มีคาเฟอีน (Caffeine Gum) ด้วยเหตุผลว่าเป็นวิธีที่ทำให้รู้สึกว่าได้ผลเร็วกว่ารูปแบบอื่น เช่น การดื่มกาแฟหรือการกินเจล

 

ฟังแล้วอาจจะสะดุดกับคำว่า ‘รู้สึก’ แต่ในมุมของโค้ชฟิตเนสแล้วคาเฟอีนที่โหลดเข้าไปนั้นเป็นการทำเพื่อช่วยในเรื่องของ ‘จิตใจ’ มากกว่าเรื่องของร่างกาย

 

ประมาณว่าได้เติมเข้าร่างกายแล้วจะรู้สึกดีต่อใจ สดชื่น มีแรง กระปรี้กระเปร่า

 

โดยที่ตามคำบอกของ ดร.นอตันแล้ว ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมต่อวันนั้นตามการวิจัยแล้วพบว่าปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่ 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม

 

สมมติว่านักฟุตบอลหนัก 75 กิโลกรัม ปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับควรจะอยู่ที่ 225-450 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ในการวิจัยยังระบุว่าอาจจะสามารถเติมคาเฟอีนเข้าร่างกายได้ถึง 9 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว

 

ทีนี้จึงนำมาสู่วิธีของการเติมคาเฟอีนเข้าร่างกายซึ่งมีหลากหลายวิธีอยู่ที่จะใช้ เช่น หมากฝรั่งคาเฟอีนจะมีปริมาณคาเฟอีนที่ 50-100 มิลลิกรัมต่อชิ้นขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ขณะที่คาเฟอีนช็อตอยู่ที่ 200 มิลลิกรัม และคาเฟอีนแบบเม็ด (Tablet) มีปริมาณอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม

 

จะเลือกเติมแบบไหนก็แล้วแต่ก็จริง แต่ในเชิงของกีฬาอาชีพแล้ววิธีที่ง่ายและสะดวกคือคาเฟอีนแบบเจลหรือแบบหมากฝรั่ง ซึ่งสะดวกและได้ผลไวกว่า เพราะการดื่มกาแฟนั้นกว่าที่คาเฟอีนจะเข้าสู่ระบบของร่างกายจะต้องใช้เวลาถึง 60 นาที ขณะที่หมากฝรั่งคาเฟอีนนั้นแค่เคี้ยวคาเฟอีนจะเริ่มเข้าระบบร่างกายภายใน 5-10 นาทีเท่านั้น และปริมาณคาเฟอีนจะเข้าในร่างทั้งหมดภายในเวลา 15 นาที

 

โดยที่คาเฟอีนแบบหมากฝรั่งนี้ยังสะดวกด้วยเพราะแค่เคี้ยวแล้วก็คาย ไม่ต้องกลืนหรือกินเข้าร่างกาย ไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารที่อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายและส่งผลต่อการทำผลงานได้

 

 

สิ่งที่สโมสรจะทำคือการจัดเตรียมของเหล่านี้เอาไว้ให้แก่นักฟุตบอลทุกคนในจุดที่สะดวกที่สุด เช่น ตั้งจุดไว้ในห้องแต่งตัวเลย หรือในกระเป๋าของสตาฟฟ์โค้ชที่หากนักฟุตบอลร้องขอก็พร้อมจะหยิบให้ได้

 

โดยช่วงเวลานั้นไม่มีการกำหนดไว้ตายตัว นักฟุตบอลบางคนอาจจะเดินมาขอในช่วงก่อนที่จะลงสนาม หรือบางคนอาจจะขอก่อนลงไปอบอุ่นร่างกาย หรือ 40 นาทีก่อนเตะ เรียกว่าจะตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความต้องการของคน 

 

จุดที่น่าสนใจคือสโมสรไม่ได้มีข้อกำหนดหรือข้อห้ามตายตัวว่าปริมาณคาเฟอีนที่จะรับเข้าร่างกายได้นั้นมีปริมาณเท่าไรกันแน่ เพียงแต่มีคำแนะนำกันว่ายิ่งรับคาเฟอีนมากเท่าไรในช่วงระหว่างสัปดาห์ เมื่อถึงวันแข่งขันจริงปริมาณที่ต้องการจะน้อยลงเท่านั้น แต่ก็อีกนั่นแหละการจะตรวจสอบหรือจำกัดปริมาณเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันด้วย

 

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่ามันจะมีแค่ผลดีอย่างเดียว

 

ดร.นอตัน เปิดเผยว่า เคยมีกรณีที่นักฟุตบอลพยายามที่จะเลี่ยงไม่รับคาเฟอีนในระหว่างเกมกลางสัปดาห์ “นักฟุตบอลมักจะประสบปัญหาในเรื่องของการนอนบ่อยๆ เพราะพวกเขาคิดถึงเกมที่เพิ่งผ่านไปหรือเดินทางกลับตอนดึก บางคนก็พบว่าตัวเองรับคาเฟอีนมากเกินไปแล้ว”

 

มันก็นำไปสู่คำถามที่ตอบยากว่า “ถ้ามันจะทำให้ฟอร์มการเล่นในวันพุธดีขึ้นแต่ว่าไปส่งผลเสียต่อฟอร์มการเล่นในวันเสาร์เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อมสำหรับการลงแข่งขัน มันจะดีหรือ?”

 

เรื่องนี้ แอนนา เวสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนซึ่งก็เป็นอีกคนที่ทำงานร่วมกับสโมสรฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนส์ ลีก ตั้งคำถามเหมือนกัน และเป็นคำถามง่ายๆ สั้นๆ ด้วย

 

นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรับคาเฟอีนก่อนลงสนามผ่านหมากฝรั่งคาเฟอีนแทนการดื่มกาแฟเพื่อให้ได้ผลเร็วกว่า

 

ทำไมถึงต้องการคาเฟอีนก่อน?

 

เพราะการรับปริมาณคาเฟอีนไว้ในร่างกายมาก จริงอยู่ที่คนเราก็ต้องง่วงและนอนหลับแต่คุณภาพของการนอนนั้นจะลดลงอย่างมาก ร่างกายจะมีปัญหาในการเข้าสู่ช่วงการหลับระดับที่ 3 (Slow Wave) หรือการหลับระดับที่ 4 (Deep Sleep) หรือการหลับลึก ซึ่งคุณภาพของการนอนนั้นสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่สึกหรอจากการแข่งขันด้วย

 

ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนแล้ว เธอไม่ได้จะต่อต้านการรับคาเฟอีนเข้าร่างกายแต่อย่างน้อยนักกีฬาควรที่จะได้รับข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเลือก โดยเฉพาะหากเป็นสิ่งที่ได้รับจากสโมสรแล้วก็ควรที่จะมีการให้ความรู้และให้คำแนะนำด้วย

 

แต่หากอยากจะเติมคาเฟอีนกันจริงๆ รู้สึกอ่อนล้าในช่วงเช้าอยากได้อะไรที่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าสักหน่อยก็เติมกันได้ เพียงแต่แทนที่จะเป็นการหยิบเอาหมากฝรั่งคาเฟอีนมาเคี้ยวหมับๆ ก็ขอให้เป็นการนั่งจิบกาแฟกันด้านนอกสนามซ้อมแทน เพราะมันจะให้ผลดีอย่างน้อย 2 อย่างด้วยกัน

 

  1. แสงธรรมชาติจะช่วยรีเซ็ตร่างกายตัวเองได้โดยอัตโนมัติ
  2. คาเฟอีนในกาแฟจะช่วยเติมพลังงานและช่วยรีเซ็ตนาฬิกาชีวิต (Body Clock) อีกครั้ง

 

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคาเฟอีนนั้นก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอาจจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการทำผลงานในสนามได้ด้วย ซึ่งมีนักฟุตบอลอาชีพจำนวนหนึ่งที่เติมคาเฟอีนเข้าร่างกายผ่านวิธีการต่างๆ จริง

 

เพียงแต่ก็เหมือนทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่จะมีแต่ประโยชน์ การใช้หรือรับมากเกินไปก็อาจส่งผลเป็นโทษได้เหมือนกัน

 

ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมด้วย

 

เขียนถึงตรงนี้กาแฟหมดแก้วพอดี คำนวณจากปริมาณคาเฟอีนของลาเต้เย็นที่หมดไปแล้วคิดว่าน่าจะเติมได้อีกสักแก้ว

 

ไม่ได้จะไปเตะบอล นักเขียนก็ต้องการคาเฟอีนเหมือนกัน! 🙂 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising