ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนี SET ของไทยร่วงลงมาราว 500 จุด ติดลบไป 30% ถือเป็นดัชนีหุ้นหลักที่ร่วงลงมากที่สุดของโลก และไม่เพียงแค่ช่วงเวลา 3 ปีเท่านั้น แต่ถ้ามองในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยก็เป็นตลาดที่ร่วงลงมากที่สุดในโลกเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ก่อนดัชนี SET ลดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปีที่ระดับ 1,158 จุด หลังจากดัชนีร่วงลงมาเกือบ 5 เดือนติดต่อกัน ท่ามกลางแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ทะลุระดับ 3 หมื่นล้านบาท
สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นไทยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนจากขาลง (Sideway Down) เป็นการแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) หลังจากที่ร่วงลงมาเกือบถึง 1,150 จุด
ถ้าดูจากตัวเลขต่างๆ ของหุ้นไทยตอนนี้ ทั้ง P/E 12 เท่า บน GDP ที่น่าจะเติบโต 2.4% ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ยังมีโอกาสจะถูกปรับลดลงจากราว 95 บาทต่อหุ้น ไปเหลือ 90-91 บาทต่อหุ้น ในช่วงสิ้นปี ขณะที่ Earning Yield Gap ของหุ้นไทยเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 6%
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลก อิงจากดัชนี MSCI ACWI ปัจจุบันมี Earning Yield Gap ที่ 1.4% บน P/E 16 เท่า หรือเทียบกับ MSCI Asia ex Japan ปัจจุบันมี Earning Yield Gap 3.4% บน P/E 12.6 เท่า
“ภาพที่เห็นคือเศรษฐกิจอาจยังไม่ดี แต่ระดับนี้เป็นมูลค่าที่ค่อนข้างเหมาะสม ทำให้หุ้นไทยน่าจะหยุดลง แต่ก็จะยังไม่ขึ้น เพราะไม่ได้มีปัจจัยกระตุ้นมากพอ”
อีกหนึ่งปัจจัยกดดันต่อหุ้นไทยที่ต้องติดตามคือแรงขายจากการไถ่ถอนกองทุน LTF ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา จะมีแรงขายเฉลี่ย 2.5-3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนปีนี้เกือบ 3 เดือน มีแรงขายออกมาแล้ว 3 หมื่นล้านบาท และยังมีมูลค่าคงค้างที่สามารถไถ่ถอนได้อีก 1.7 แสนล้านบาท แต่คำถามคือจะมีแรงขายออกมาหมดเลยหรือไม่
“คิดว่าน่าจะไม่ เพราะจะมีการให้ประโยชน์ทางภาษี 5 แสนบาท สำหรับผู้ที่สลับมาลงทุนใน Thai ESG Extra คิดว่าจะมีคนใช้สิทธิ 25-50% ถ้ามีคนใช้สิทธิ 25% ก็ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ส่วน 50% ก็ราว 8.5 หมื่นล้านบาท ประเด็นนี้ไม่ได้เพิ่มแรงซื้อแต่ช่วยบรรเทาแรงขาย”
ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาผ่านกองทุน Thai ESG Extra คาดว่าจะมีราว 1.5-2 หมื่นล้านบาท
เมื่อหุ้นไทยยังขาดแรงกระตุ้น กลยุทธ์คือการอยู่กับหุ้น Defensive คือหุ้นที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวช่วยมากนัก เช่น BDMS หรือหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลก เช่น PTT และ TOP