การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ภายในทำเนียบขาว ก่อนที่จะจบลงแบบไร้ซึ่งข้อตกลงแร่หายากตามที่ได้คุยกันไว้
วินาทีการปะทะคำต่อคำของทั้งทรัมป์และเซเลนสกี กลายเป็นประเด็นร้อนที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยเฉพาะในจีน มีการวิเคราะห์ Big Data จาก Weibo AI สะท้อนมุมมองที่หลากหลายของชาวเน็ตว่าไม่ต่างจาก “ละครการเมือง” ที่สะท้อนถึงความไม่มั่นคงภายในสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
โซเชียลมีเดียจีนมองการปะทะของทรัมป์-เซเลนสกีอย่างไร?
การวิเคราะห์ Big Data ของ Weibo AI ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนจีนต่างมองเหตุการณ์นี้หลายมิติ ตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ไปจนถึงการมองว่าเป็น “ละครการเมือง” ที่สะท้อนถึงความอ่อนแอของรัฐบาลสหรัฐฯ
Facebook Page อ้ายจง อธิบายว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความไม่ลงรอยเชิงลึก โดยเฉพาะในประเด็น “การหยุดยิง” และ “ข้อตกลงแร่หายาก” ซึ่งกลายเป็นจุดเปราะบางในความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ท่าทีที่แข็งกร้าวของทรัมป์และความดื้อรั้นของเซเลนสกีทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์นี้จะยืนยาวได้เพียงใด
ด้านชาวเน็ตจีน มีการติดแฮชแท็ก “白宫斗争” (ความขัดแย้งในทำเนียบขาว) ซึ่งสะท้อนถึงความเห็นว่าความขัดแย้งครั้งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเมืองอเมริกันที่เต็มไปด้วยความแตกแยก ขณะที่บางความเห็นมองว่าสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในหลักการ “America First” ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะลำบากเพียงใด สหรัฐฯ จะหาทางรักษาความเป็นผู้นำไว้เสมอ
ข้อตกลงแร่หายากล่ม จีนได้เปรียบหรือไม่?
คำถามสำคัญคือความขัดแย้งในครั้งนี้ของทรัมป์และเซเลนสกีจนเป็นเหตุทำให้ข้อตกลงแร่หายากต้องล่มไป จะเป็นประโยชน์มากขึ้นกับจีนหรือไม่ เนื่องจากสหรัฐฯ นั้นพึ่งพาแร่หายากเหล่านี้จากจีนเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งการพยายามทำข้อตกลงขอสิทธิ์เข้าถึงแร่หายากในยูเครนของทรัมป์ ก็เพื่อเป็นการลดการพึ่งพาจีน
อาจารย์ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มองว่า แม้ข้อตกลงแร่หายากระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนจะล่มลง ซึ่งในเชิงทฤษฎีอาจทำให้จีนมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าจากจีนในบางส่วน แต่ในระยะยาว อาจารย์ภากรมองว่า สหรัฐฯ จะหาทางกลับมาเจรจากับยูเครนหรือแหล่งทรัพยากรอื่นๆ ให้สำเร็จ
อาจารย์เน้นย้ำว่า America First ยังคงอยู่ใน DNA ของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้และชี้ว่าข้อตกลงที่ล่มไปในเวลานี้ไม่ได้ทำให้จีนได้เปรียบอย่างชัดเจน เพราะสหรัฐฯ จะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบต่อจีนในระยะยาว
สิ่งที่จีนอาจได้รับประโยชน์คือ “อำนาจต่อรอง” ที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจีนสามารถใช้สถานการณ์นี้เป็นแต้มต่อในการเจรจากับทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยในช่วงที่ผ่านมา จีนเดินหน้ารุกคืบสร้างความสัมพันธ์กับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง เพื่อคานอำนาจสหรัฐฯ โดยใช้โอกาสความไม่ลงรอยระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีเป็นแต้มต่อในการเจรจาทางการเมือง
ขณะที่ในเวทีโลก จีนยังแสดงบทบาท “ผู้ประสานสันติภาพ” ผ่านเวทีระหว่างประเทศ และยังเดินหน้ากระชับสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ G20 ทั้งหมดนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งเชิงยุทธศาสตร์ และพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศในยุโรปด้วย
อ้างอิง:
- https://www.facebook.com/aizhongchina/posts/pfbid02DMif3ZaAPJdAojWQVQbhmyFVjxB25Bqgm7TXxqhH7a4LpmMPxGgMzKGg4rRiRpYYl?__cft__[0]=AZUhnrNrqySkDTrdUnlTxjvHORjWIp4y5F-OQwlVDyOmGHIhApAwOU4qgLYamf836gIlAhlwZZ9yvm6_VqPdeIAeKtmT1cHA9b7ZRJjpI8xms49N6XNczRDQFu_pgwN9MzII4Zzmf2zAQEYDfwI-db9pF_sXBguX-o19ZfQyApWmBw&__tn__=%2CO%2CP-R
- https://www.bbc.com/news/articles/c2erwgwy8vgo