×

รังสิมันต์เห็นด้วยภูมิธรรมสั่งการเร่งตัดไฟชายแดนเมียนมา เสนอตัด 3 จุด ปิดทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดย THE STANDARD TEAM
04.02.2025
  • LOADING...
รังสิมันต์

วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจรองนายกรัฐมนตรีสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าชายแดนไทย-เมียนมา

 

รังสิมันต์ระบุว่า ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ตนเองพยายามยืนยันมาโดยตลอดว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ไม่ควรไปถึงระดับนโยบายด้วยซ้ำ แต่ กฟภ. เกียร์ว่าง ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ซึ่งสิ่งที่ภูมิธรรมพูดฟังดูเหมือนจะตัดแค่ชเวโก๊กโก่และเคเคพาร์กหรือไม่ ซึ่ง 2 จุดนี้ถูกตัดไปนานแล้ว และอยากใช้โอกาสนี้บอกอีกครั้งว่าถ้าจะตัดก็เห็นด้วย และควรที่จะทำทันที การที่ภูมิธรรมออกมาระบุว่าจะทำทันทีก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องทั้งหมดนี้ต้องดูว่าสุดท้ายการตัดไฟที่จะเกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นที่จุดไหน

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากฝั่งเมียนมาทางท่าขี้เหล็กยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ขณะที่ฝั่งเมียวดีและพญาตองซูมีปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงคิดว่าต้องตัดทั้งหมด 3 จุดนี้ หากมีการละเว้นจุดใดจุดหนึ่งไว้ปัญหาก็ไม่จบ เพราะขบวนการเหล่านี้คงย้ายไปอีกจุดที่ยังไม่ถูกตัดไฟ

 

ส่วนวิธีการแก้ปัญหาในระยะยาว การตัดไฟเพียงบางจุดเป็นเพียงก้าวแรก ยังเหลืออีกจำนวนมากในการแก้ปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งขั้นตอนที่ควรจะพิจารณาต่อไปคือเรื่องของท่าข้ามแม่น้ำ เฉพาะจังหวัดตากก็มีการเปิด 59 ท่า บางท่าก็ตั้งอยู่กับแก๊งสแกมเมอร์ และหากมีการตัดไฟก็แน่นอนว่าแก๊งเหล่านี้จะต้องไปหาเครื่องปั่นไฟ และรัฐบาลต้องดูตั้งแต่ต้นว่ามีการจัดหาเครื่องปั่นไฟไปใช้หรือไม่ เพื่อรีบสกัดกั้นตั้งแต่ตอนนี้ นี่คือขั้นตอนแรกที่ควรจะทำภายหลังการตัดไฟ

 

ขั้นตอนที่สอง หากเกิดการกระทำความผิดใดๆ เราจะสามารถเอาผิดเจ้าของท่าข้ามซึ่งเป็นเอกชนได้หรือไม่ และสาม ต้องทบทวนถึงความจำเป็นที่ต้องมีท่าข้ามมากมายขนาดนี้ ซึ่งเป็นความอ่อนแอด้านความมั่นคงของประเทศอย่างมาก เนื่องจากไม่มีการตรวจสิ่งของที่นำข้ามไป โดยเฉพาะของผิดกฎหมาย หากจะเปิดท่าข้ามควรคงมาตรฐานไม่น้อยไปกว่าด่านชายแดนถาวรที่มีเจ้าหน้าที่รัดกุมตามจุดต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้น

 

ส่วนการมีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวซึ่งอนุญาตให้สามารถเดินทางได้ทั่วราชอาณาจักรโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตซ้ำนั้น ควรมีการทบทวน เนื่องจากบางพื้นที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไป โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก พื้นที่ที่เป็นพื้นที่ด้านความมั่นคง หรือหากนักท่องเที่ยวอยากเดินทางเข้าพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน จะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องทบทวนให้มีกลไกในการขออนุญาตก่อน ซึ่งมองว่าวิธีการนี้จะป้องกันกลุ่มที่แฝงตัวมาเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อข้ามไปยัง 3 จุดข้างต้น

 

รังสิมันต์ย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือกลไกภายใน อย่างเรื่องบัญชีม้า เห็นท่าทีของรัฐบาลเอาจริงเอาจังมากขึ้น ซึ่งก็เข้าใจว่าคงต้องรอการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีก่อน เพื่อให้ธนาคารและโอเปอเรเตอร์ต่างๆ ร่วมรับผิดชอบ แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ยังรอเงินคืน ซึ่งก็คงต้องมีกลไกรองรับและจัดการ รัฐบาลยังต้องหันไปมองฝั่งกัมพูชาด้วย เพราะเป็นอีกหนึ่งแหล่งสำคัญไม่แพ้กับฝั่งเมียวดี และต้องดูว่ามีทรัพยากรอะไรบ้างของประเทศไทยที่อาจถูกส่งไปถึง

 

สำหรับท่าทีของ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ต้องถึงภูมิธรรม ไปไกลสุดจริงๆ แค่อนุทินแค่นั้น การที่อนุทินไม่ดำเนินการมีความเสียหายต่อประเทศชาติหรือไม่

 

“และถ้ามีความเสียหาย คุณอนุทินจะลอยหน้าลอยตาต่อไปแบบนี้ใช่หรือไม่ รัฐบาลจะไม่ทำอะไรเลยใช่หรือไม่ และหากปรากฏว่าไฟฟ้าที่ขายไปไม่ใช่มีแค่ฝั่งเมียนมา แต่ไปเจอจุดอื่นอีก แล้วก่อให้เกิดการเสียหายอีก คุณอนุทินจะลอยหน้าลอยตาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ประชาชนต้องรับความเสียหายต่อไปเองเรื่อยๆ ส่วนนายกรัฐมนตรี ผมขอเรียกร้อง แม้จะชื่นชมว่าวันนี้มีการตัดไฟจริง แต่ขณะเดียวกันความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว คุณอนุทินก็ต้องรับผิดชอบในการไม่ใช้อำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบของตัวเอง ผมต้องถามถึงนายกรัฐมนตรีว่าเราจะปล่อยคุณอนุทินไปแบบนี้หรือไม่” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์กล่าวว่า ต้องมีมาตรการอะไรออกมา จึงต้องเรียกร้องความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี โดยวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ได้เชิญกระทรวงมหาดไทยและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมประชุมกับกรรมาธิการ และกำชับกับฝ่ายเลขาธิการว่ากระทรวงมหาดไทยให้กำหนดเป็นอนุทินโดยตรง รวมถึงเลขาธิการ สมช. ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ สมช. ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานประสาน ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจโดยตรง

 

“แต่วันนี้ท่านเลขาธิการ สมช. ยินดีที่จะรับเผือกร้อน และออกมาพูดตอนแถลง ผมก็เสียดายมาก เพราะควรจะพูดให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาความมั่นคง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผมฟังข้อมูลตอนเทกออฟก็เหมือนจะดี แต่พอท่านแลนดิ้งมันไปอีกทางหนึ่ง ผมก็งงกับท่านจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น“ รังสิมันต์กล่าว

 

ส่วนที่เคยออกมาโพสต์กำชับให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดูแลลูกน้องตัวเอง รังสิมันต์กล่าวว่า เห็นข่าวว่า พล.ต.ต. ‘ต.’ ออกมายอมรับว่าเคยทำธุรกิจอยู่ฝั่งตรงข้าม คือที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ปกป้องและปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ปล่อยให้บุคคลเดินทางไปเล่นคาสิโน ซึ่งส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเข้าออกประเทศไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และรายได้ที่ได้มาที่อาจชอบด้วยกฎหมายเข้าข่ายเป็นการฟอกเงินหรือไม่

 

“ผมกำลังจะบอกว่าวันนี้ พล.ต.ต. ‘ต.’ อาจเป็นคนที่มีเบื้องหลังบางอย่างอยู่ด้วย มีคนที่อาจเป็นระดับสูงเป็นเบื้องหลังเป็นลมใต้ปีกให้กับ พล.ต.ต. ‘ต.’ ส่วนบิ๊กต่าย (พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์) วันนี้ทำอะไร ไม่เห็นทำอะไรเลย เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตอนอยากจะเป็นอยากจะเป็นใจจะขาด แต่ถึงเวลาปัดกวาดบ้านตัวเองไม่เห็นทำอะไรเลย แล้วออกให้ข่าวมั่วซั่วว่าไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย วันนี้คนในองค์กรของท่านทำผิดกฎหมาย ท่านไม่เห็นจัดการอะไรเลย ปล่อยให้เขาเดิน เผลอๆ แหล่งรายได้เงินต่างๆ ยังคงไหลมาเทมาต่อไป หรือว่าเส้นเงินต่างๆ การซื้อขายตำแหน่ง มันมากเสียจนทำให้คนคนนี้ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือไม่” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์ระบุว่า ขอให้สื่อมวลชนจับตา เพราะไม่ต้องการเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน การทุจริตคอร์รัปชันเป็นแหล่งที่มาที่ทำร้ายประเทศไทยมากมายเหลือเกิน และความทุกข์ยากตกอยู่ที่ประชาชนคนไทย

 

“แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะไม่มีทางเติบโตได้ขนาดนี้ถ้าไม่ได้คนที่คอร์รัปชันที่อยู่ในวงการราชการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์คงไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ขณะนี้คงไม่มีคนฆ่าตัวตาย คงไม่มีคนที่หมดตัวขนาดนี้ถ้าระบบกฎหมายสามารถอำนวยความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง” รังสิมันต์กล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising