วันนี้ (28 มกราคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติงบกลาง ปี 2568 ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่าจำนวน 620 ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าที่สุด เร่งรับมือแก้ไขปัญหาและป้องกันสถานการณ์ไฟป่า รวมถึงฝุ่นควันและฝุ่นละอองที่จะเกิดขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ
ด้านกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศรับมือกับภัยพิบัติในครั้งนี้ ออกประกาศห้ามเผา จัดการซังข้าวโพด ต้นอ้อยแห้ง โดยการฝังกลบแทนการเผาและใช้เครื่องแพ็กฟาง และให้หน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมรับมือไฟป่า
สำหรับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลกลุ่มเปราะบาง แจกหน้ากาก N95 และจัดคลีนรูมให้กลุ่มเปราะบางทั้งคนที่ไม่สบายและเด็กเล็กเข้ามาอยู่ในห้องนี้
ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่เชียงใหม่ โดยใช้งบกลางที่ ครม. อนุมัติจัดจ้างบุคลากรเข้ามาดูแลไฟป่า
ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ให้เผาในทุกพื้นที่การเกษตร หากพบเจอจะตัดสิทธิการรับเงินเยียวยาจากรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ – 31 พฤษภาคม 2569 รวมถึงใช้ปฏิบัติการฝนหลวงในการลดฝุ่น
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคมมีมาตรการขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี ที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการสาธารณะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และสำรวจแล้วว่ารถบนท้องถนนลดลง 5 แสนคันต่อวัน ซึ่งในกรุงเทพฯ รถติดน้อยลงเพราะมาตรการนี้
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือโรงงานและสมาคมชาวไร่อ้อย ไม่ให้รับอ้อยที่มาจากการเผาเกิน 25% ต่อวัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมเน้นย้ำมากในเรื่องนี้และได้ผลเป็นอย่างดี สถิติลดเหลือเพียง 10% ต่อวัน ขณะเดียวกัน ทุกโรงงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงอยากขอบคุณผ่านสื่อมวลชนไปด้วย และยังมีมาตรการทำใบอ้อยให้มีมูลค่าแทนการเผา เพื่อนำไปขายให้กับโรงงานที่ใช้พลังงาน ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร
รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศร่วมมือกับอาเซียน ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา และมีกรอบความร่วมมือด้านนโยบายให้เกิดความชัดเจนกับประเทศภูมิภาคเอเชียและประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะให้ความร่วมมือกับเทคนิค และความรู้ของแต่ละประเทศจะสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างไรบ้าง
สำหรับกรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาระบุว่า การแก้ปัญหาฝุ่นของรัฐบาลมีแต่สั่ง แต่ไม่มีการติดตามงาน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกกระทรวงที่สั่งการไปได้ติดตามงานอย่างใกล้ชิด ก็เป็นงานของรัฐบาลและแต่ละกระทรวงที่ได้ติดตามงานตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในแต่ละกระทรวงที่แจ้งไว้
เตรียมหารือสีจิ้นผิงประเด็นคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์
นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 5-8 กุมภาพันธ์ 2568 จะถือโอกาสพูดคุยกับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเด็นหนึ่งคือกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ส่วนตัวคิดว่าจีนน่าจะอยากได้ความร่วมมือจากเราเช่นเดียวกัน
“เรามีความสัมพันธ์แบบพี่น้องกันมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การไปในครั้งนี้จะมีเรื่องคอลเซ็นเตอร์และฝุ่นควันอย่างแน่นอน รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป เพราะปีนี้เป็นปีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนครบ 50 ปี และถ้ามีโอกาสจะเปิดโอกาสด้านการค้าของไทย-จีน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีความมั่นคงของจีนมาคุยกับไทยเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประกอบกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศบนเวทีหาเสียงนายก อบจ. ว่า ภายในปีนี้เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่ทักษิณกล่าวไปก็เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ทั้งการปราบยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝุ่นควัน ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งการได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยเร่งกระบวนการนี้ให้สำเร็จเร็วขึ้น อย่างเรื่องฝุ่นในประเทศไทย หากดูจากจุดความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังต้องขอความร่วมมือกันต่อไป เพราะฝุ่นอยู่ในอากาศ ลมสามารถพัดจากเราไปหาเขาและจากเขามาหาเราได้ ซึ่งก็ทำให้ส่งผลกระทบทั้งหมด จึงต้องอาศัยความร่วมมือ และหากได้ความร่วมมือก็จะเกิดผลเร็วอย่างแน่นอน
เมื่อถามถึงความจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากจีนให้ช่วยเรื่องการปล่อยข่าวปลอมในโซเชียล นายกรัฐมนตรีระบุว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหารือเรื่องนี้โดยตรงแล้ว และการที่ตนเองเดินทางไปจีนก็จะหารือขอความร่วมมือในเรื่องนี้อยู่แล้ว และจากการที่ตนเองได้ใช้ AI เพื่อประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจเป็นภาษาจีน ทางการจีนก็บอกว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และชอบที่เราสื่อสารกับเขาเป็นภาษาจีน
