นานาชาติรู้จักและยอมรับ ‘การประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’ (Prince Mahidol Award Conference: PMAC) ซึ่งจัดขึ้นโดย ‘มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์’ ในฐานะเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนโยบายด้านสุขภาพ ที่มุ่งไปที่ผลกระทบในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสุขภาพระดับโลกอย่างแท้จริง
มากไปกว่าการระดมแนวคิดและหาแนวทางสร้างโลกที่อุดมไปด้วยคนสุขภาพดี วัตถุประสงค์หลักของการประชุมก็เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับสากล และเพื่อให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งหนึ่งของโลก
เกือบ 20 ปีที่งานประชุมนี้ได้รับการจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาลไทยรวมถึงหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และอีกหลายองค์การทั่วโลก สร้างความสำเร็จต่อประเทศไทยและคนทั่วโลกมากมายในหลากหลายมิติ
ก่อนที่การประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล หรือ PMAC 2025 จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ในหัวข้อ ‘Harnessing Technologies in an Age of AI to Build A Healthier World’ การใช้เทคโนโลยีในยุค AI เพื่อสร้างโลกที่สุขภาพดีขึ้น
นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ
THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และประธานอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ เขต 13 กรุงเทพมหานคร (อปสข.) และยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนการจัดงาน PMAC ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบัน มาบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของงานประชุม PMAC และผลสัมฤทธิ์ที่สร้างความสำเร็จให้กับวงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลก
จุดเริ่มต้น ‘การประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’
นพ.สุวิทย์ เล่าว่า มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ริเริ่มจัดงาน PMAC ขึ้นเพื่อต่อยอดจิตวิญญาณของ ‘รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’ ที่มอบให้กับบุคคล บุคลากร หรือองค์การทั่วโลก ที่มีผลงานดีเด่น เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์และด้านการสาธารณสุข
“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลเป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในฐานะองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย”
“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลคือซอฟต์พาวเวอร์ไทย เป็นภาพลักษณ์ของการสาธารณสุขเพื่อมวลชน” นพ.สุวิทย์ ยังเล่าต่อว่า ก่อนจะมีการจัดประชุมต่อเนื่องทุกปีอย่างทุกวันนี้ได้มีการจัดประชุมตอนครบรอบ 5 ปี และครบรอบ 10 ปี ของการมอบรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และยังเป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นคนไทย
“เรามองว่ามันยังไม่เกิดประโยชน์ ถ้าต้องการสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นจริง ผลักดันประเทศไทยให้เป็นตัวขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพระดับโลกและเป็นผู้นำด้านงานประชุมวิชาการ ต้องจัดต่อเนื่องทุกปี โดยประเทศไทยต้องเป็นเจ้าภาพจัดงานและเชิญองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ มาเข้าร่วม”
เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติและมอบงบประมาณให้แก่มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ การประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลก็ได้รับการจัดต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ปี 2550
“เป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนนั้นประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งเราได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพที่ดีที่สุด อีกทั้งวัตถุประสงค์ของการประชุม ก็เพื่อระดมสรรพกำลังจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมาหารือกันพัฒนาการสาธารณสุขให้กับคนในสังคมทุกประเทศทั่วโลก ที่อยู่ในกลุ่มด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้”
‘ปัญหาสุขภาพระดับโลก’ ต้องรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญจากทุกมุมโลก
“ทางมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ตั้งใจให้ PMAC เป็นการประชุมปิด เพราะต้องการจัดสรรสัดส่วนผู้เข้าร่วมงาน อีกทั้งนโยบายของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ คือต้องการจัดประชุมเพื่อชาวโลก จึงจำกัดจำนวนคนไทยที่เข้าร่วมประชุมไม่ให้เกิน 25% รวมถึงวิทยากร แต่ละปีจะมีวิทยากรราว 100 คน เราจำกัดให้มีคนไทยไม่เกิน 5 คนขึ้นพูด เพราะนี่คือเวทีโลก เราต้องฟังว่าโลกกำลังขับเคลื่อนไปทิศทางใด วิสัยทัศน์จากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายประเทศคืออะไร ยกเว้นบางทีที่มีองค์การในประเทศไทยเป็นเจ้าภาพรวมมากหน่อย ก็เพิ่มสัดส่วนเป็น 30-40% อย่างปีนี้ก็มีคนไทยเข้าร่วมเยอะ เพราะหัวข้องานประชุมเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสุขภาพ บรรดาองค์การที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและองค์การด้านเทคโนโลยีจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก”
สำหรับวิทยากรในแต่ละปี นพ.สุวิทย์ บอกว่า จะคัดเลือกโดย Co-host และ Co-sponsor “องค์การส่วนใหญ่ที่มาเป็น Co-host และ Co-sponsor เขามีเครือข่ายและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ อยู่แล้ว อย่างองค์การอนามัยโลกหรือธนาคารโลกที่ร่วมเป็นเจ้าภาพรวมกับเราทุกปี จะรู้ว่าใครเก่งเรื่องไหนและใครที่เป็นคนสำคัญที่ควรเข้าร่วมประชุมที่จะนำองค์ความรู้ในประเด็นนั้นๆ ไปต่อยอดได้”
เช่นเดียวกันกับหัวข้อการประชุมที่จะต้องหารือร่วมกันล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ปี “ต้องเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก หรือบางทีก็หยิบประเด็นร้อนในเวลานั้น อย่างตอนปี เราเอาประเด็นโรคระบาดขึ้นมาจัดประชุมออนไลน์ในหัวข้อ ‘COVID-19: Advancing Towards an Equitable and Healthy World’
โลกที่แวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยีและ AI จะสร้างโลกที่สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อถามถึงหัวข้อการประชุมปีนี้ นพ.สุวิทย์ บอกว่า “จริงๆ แล้วเป็นประเด็นที่คณะกรรมการพิจารณากันมากว่า 5-6 ปี ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 เสียอีก
“เวลานั้นเราคุยกันว่าในอนาคตจะมีเมกะเทรนด์อะไรบ้างที่กระทบต่อระบบสุขภาพ จนกระทั่งได้มา 4 เรื่อง ได้แก่ Climate Change, Geopolitics, Technology Disruption และเรื่องการเปลี่ยนแปลงประชากร ไม่ว่าจะเป็นประชากรย้ายถิ่น คนเกิดน้อย การเข้าสู่ Aging Society ที่ประชุมก็สรุปว่าจะจัดงานประชุมต่อเนื่องใน 4 หัวข้อนี้”
ปี 2565 ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ จึงนำมาเป็นประเด็นสำคัญบนเวที PMAC ในหัวข้อ ‘The World We Want: Actions Towards a Sustainable, Fairer and Healthier Society’ ต่อเนื่องในปี 2566 ที่ยังคงให้ความสำคัญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหัวข้อ ‘Setting a New Health Agenda – at the Nexus of Climate Change, Environment, and Biodiversity’ มาจนถึงปี 2567 กับหัวข้อ ‘Geopolitics, Human Security and Health Equity in an Era of Polycrises’ หนึ่งในเมกะเทรนด์ที่คณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ มองว่ามีความสำคัญต่อสุขภาวะของมนุษย์
“มาปีนี้เราจะพูดเรื่องเทคโนโลยีและ AI ในวงการแพทย์ ในหัวข้อ ‘Harnessing Technologies in an Age of AI to Build A Healthier World’ ซึ่งปัญหาตอนนี้คือเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มีเยอะ บางอย่างตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง จนกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาเข้าไม่ถึง เพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว จึงเป็นประเด็นที่ต้องมาหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเสมอภาค ทลายกำแพงความเหลื่อมล้ำให้อยู่ในกรอบของการสาธารณสุขเพื่อมวลชน
“ขณะเดียวกัน AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกไปแล้ว แทรกซึมไปในทุกภาคส่วน ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาไปจนถึงการบริการ คำถามคือ จะทำอย่างไรถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดี ที่จำเป็น ได้อย่างเสมอภาค ภายใต้โลกที่กำลังขับเคลื่อนด้วย AI”
ผลสำเร็จของโลกที่เท่าเทียม ทุกคนต้องเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้เท่ากัน
นพ.สุวิทย์ บอกว่า PMAC 2025 ยังคงได้รับความร่วมมือจากองค์การระหว่างประเทศ, องค์การอนามัยโลก, ธนาคารโลก, องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA), มูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Chatham House และองค์การภายในประเทศมากมาย เช่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“การที่เรามีความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานในประเทศและองค์การระดับโลก กลายเป็นจุดแข็งในเรื่องเครือข่ายที่ต่อยอดสร้างความสำเร็จและขยายผลไปสู่เวทีโลกมากมาย”
นพ.สุวิทย์ ยกตัวอย่างประเด็นที่ได้รับการขยายผลไปสู่เวทีโลก เช่น งานประชุมเรื่องการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ กลายเป็นระเบียบวาระการประชุมขององค์การอนามัยโลกทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอนามัยโลกที่เจนีวา นำไปสู่มติสมัชชาอนามัยโลกเรื่องการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ
“อีกหนึ่งวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน คือ การต่อยอดเครือข่ายผู้เข้าร่วมประชุม ที่นี่เหมือนเป็นเวทีที่คนในวงการแพทย์และแวดวงที่เกี่ยวข้องมารวมตัวกัน ต่อยอดไปสู่การทำธุรกิจเพื่อประชาชนร่วมกัน ในงานประชุมยังมีการจัด Side Meeting เป็นสถานที่ที่ให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถพูดคุย สร้างเครือข่ายการทำงาน เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าเวทีการประชุมหลัก”
นพ.สุวิทย์ ยังบอกด้วยว่า ทุกปีจะมีการจัดการศึกษาดูงานในประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจสามารถเลือกได้ว่าสนใจจะไปที่ไหนใน 4-6 แห่งที่มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ คัดเลือกมา “ทุกปีมีผู้เข้าร่วมดูงานประมาณ 300-400 คน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญที่จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปต่อยอดในประเทศของพวกเขา”
ยกตัวอย่างปีนี้ โรงพยาบาลศิริราชพัฒนา AI ในการอ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ปอดได้ถึง 8 โรค และถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้กับบริษัทเอกชน เพื่อนำไปขายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ในไทย ปัจจุบันมีโรงพยาบาลกว่า 30 แห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้
“สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้ต่างชาติเห็นว่าการแพทย์ของไทยก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน หลายโรงพยาบาลในเมืองไทยก็เริ่มนำ AI เข้ามาพัฒนาการรักษา เช่น โรงพยาบาลราชวิถี นำ AI มาใช้อ่านจอประสาทตา เพื่อให้คนไทยที่เป็นเบาหวานทั่วประเทศสามารถไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้าน เพื่อตรวจและถ่ายภาพจอประสาทตาเพื่อดูว่าเบาหวานขึ้นตาหรือยัง ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา หรือโรงพยาบาลรามาธิบดี ก็กำลังพัฒนาการอ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ด้วย AI เช่นกัน
“แต่เทคโนโลยีของโรงพยาบาลรามาธิบดีที่สร้างประโยชน์ให้กับคนไทยอย่างมาก คือ การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในระบบบริการสารต้านพิษและเซรั่มแก้พิษงู รวมถึงสารพิษอื่นๆ ของศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี ที่ทำมาแล้วกว่า 10 ปี ต่างประเทศเดินทางมาดูงานและศึกษา ตอนนี้องค์การอนามัยโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็รับโปรเจกต์นี้ไป เพื่อพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาในประเทศต่างๆ โดยใช้ประเทศไทยเป็นต้นแบบ”
เมื่อถามถึงตัวชี้วัดความสำเร็จของการประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในทัศนะของ นพ.สุวิทย์ ก็ยังยกเอา ‘ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ’ เป็นที่ตั้ง
“หากย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์ของการจัดงาน หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสุขภาพระดับโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงการมีสุขภาพที่ดี การที่ประเด็นต่างๆ ที่ถกกันบนเวทีการประชุมและได้รับการนำไปต่อยอดจนกลายเป็นนโยบายสุขภาพได้จริง นั่นคือความสำเร็จแรก”
“ต่อมา คือ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยวันนี้ในสายตาชาวโลกเปลี่ยนไป การจัดงานประชุมนี้ก็ตัวอย่างของซอฟต์พาวเวอร์ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสามารถที่จะเป็นผู้นำและสร้างอิทธิพลที่ดีให้กับโลกได้ เราวัดจากฟีดแบ็กของ Co-host ที่เขาบอกว่าได้ประโยชน์และความรู้จากการมาร่วมงานจริงๆ นั่นทำให้จำนวน Co-host ในแต่ละปีเพิ่มขึ้น แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นสำเร็จ คนในวงการสาธารณสุขทั่วโลกเห็นความสำคัญของการจัดงานประชุมนี้ ตอกย้ำว่าประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งหนึ่งของโลก
“ท้ายที่สุดแล้วความสำเร็จนี้จะสะท้อนกลับมาสู่คนไทยอย่างแน่นอน แม้ภาพรวมจะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผลลัพธ์ปลายทางเชื่อมโยงกัน เหนือสิ่งอื่นใดคือการผลักดันและขับเคลื่อนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องเผชิญกับภาระทางการเงินที่สูงเกินไป และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมในด้านสุขภาพของประชาชนทั่วโลก” นพ.สุวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย