วันนี้ (15 พฤศจิกายน) ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024: BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ Boosting Investments, Bolstering Growth: BOI’s Strategic Blueprint ขับเคลื่อนการลงทุนไทย ให้เติบโตบนเวทีโลก ด้วยยุทธศาสตร์ BOI โดยย้ำว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนในระดับโลกได้ ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อเป็น New Growth Engine ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อในทศวรรษข้างหน้า
นฤตม์กล่าวว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมเดิมมา 30 ปี และตอนนี้เป็นโอกาสทองของไทยที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่เป็น New Growth Engine ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อในทศวรรษข้างหน้า
ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางลงทุนจากนี้อีก 5 ปี มี 5 ปัจจัย ดังนี้
- Geopolitics: หลังการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาจบลงและได้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ทำให้ภาพ Trade War และ Tech War ชัดเจนมากขึ้น
- Green Transformation: จากภาวะโลกร้อนทำให้ทุกภาคส่วนมุ่งไปสู่การลดคาร์บอน ตั้งเป้าหมายเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero
- Global Minimum Tax: OECD ออกกติกาภาษีใหม่ของโลก ที่บังคับให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 15% โดยประเทศส่วนใหญ่จะเริ่มใช้ในปีหน้า เช่นเดียวกับไทยซึ่งกระทรวงการคลังเตรียมเก็บภาษีส่วนเพิ่มตั้งแต่ปีหน้า
เรื่องนี้จะกระทบต้นทุน มีผลต่อการวางแผนลงทุน ประเทศต่างๆ ต้องมีมาตรการในการดึงดูดการลงทุนแบบใหม่ รวมถึงเครื่องมือทางภาษีที่ต้องคิดเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อดึงการลงทุนให้ได้
- Technology Disruption: เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, IoT, EV Automation, Biotechnology เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม
- Talent: ทุกประเทศกำลังมุ่งไปสู่อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ องค์ความรู้และทักษะของบุคลากรใหม่เป็นที่ต้องการ ดังนั้นเราจะได้เห็น War for Talent เกิดขึ้นต่อเนื่อง
เมื่อฉายภาพมาที่ไทยพบว่ามีศักยภาพหลายๆ ด้านที่สามารถตอบโจทย์ 5 ปัจจัยดังกล่าวได้ โดยไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น ท่าเรือน้ำลึก, สนามบินนานาชาติ, นิคมอุตสาหกรรม, โลจิสติกส์, บุคลากรที่มีคุณภาพ, ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีตลาดที่มีศักยภาพสูง
นฤตม์กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการลงทุนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าไทยต่อเนื่อง เฉพาะงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มูลค่ามากกว่า 7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 40% สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยประเทศและดินแดนที่เข้ามาลงทุนส่วนมาก ได้แก่ จีน, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และไต้หวัน
และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – กันยายน 2567) การลงทุนที่มาขอรับการส่งเสริมจาก BOI มูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนโครงการกว่า 6,400 โครงการ โดยเซ็กเตอร์ที่เป็นผู้นำคือเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 6 แสนล้านบาท ตามมาด้วยยานยนต์และชิ้นส่วน
และอีกสาขาที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากคือพลังงานหมุนเวียนและกลุ่ม Smart & Sustainable Industry
สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ของไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาหลักที่จะเป็น Game Changer ของประเทศ เรียกได้ว่าเป็น New Growth Engine ของไทยในอนาคต ประกอบด้วย
- Bio-based & Green Industries (BCG)
- EV+Battery and Key Parts
- International Business Center
- Digital
- Semiconductor and Advanced Electronics
ซึ่ง 5 สาขานี้มีความคืบหน้าด้านการลงทุน โดยขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 3,700 โครงการ เงินลงทุนรวมมากกว่า 1.3 ล้านล้านบาท
“สำหรับอุตสาหกรรม EV ขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ EV แบบครบวงจรในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี BOI สนับสนุนการลงทุนไปแล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาท” นฤตม์กล่าว
นฤตม์กล่าวอีกว่า ต้นน้ำที่สำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ก็คือแบตเตอรี่ ซึ่ง ณ ขณะนี้ไทยต้องการดึงดูดต้นน้ำของการผลิตแบตเตอรี่ คือ Battery Cell ให้มาตั้งในไทย ซึ่งค่อนข้างเชื่อมั่นว่าในต้นปีหน้าจะมีการประกาศการลงทุนของบริษัทรายใหญ่ชั้นนำในการผลิตแบตเตอรี่เซลล์ในไทยด้วย
อีกสาขาที่สำคัญคือ Semiconductor และ Advanced Electronics ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตด้านนี้มาอย่างยาวนาน แต่ตอนนี้รัฐบาลและ BOI ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่ต้นน้ำโดยเฉพาะที่เป็น Semiconductor Front End
และความคืบหน้าล่าสุดด้าน Semiconductor คือเมื่อปลายเดือนที่แล้วมีการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ BOI เป็นเลขานุการ ซึ่งบอร์ดชุดนี้จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนการสร้างฐานอุตสาหกรรม Semiconductor ในไทย