การตามหาบ้านที่ถูกใจ อาจจะไม่ยากเท่าการยื่นกู้บ้านให้ผ่าน เพราะหากเตรียมตัวไม่ดีก็อาจทำให้เสียเวลา หรือที่แย่กว่านั้นคือถูกปฏิเสธสินเชื่อ เพราะฉะนั้นการเข้าใจว่าสถาบันการเงินพิจารณาสินเชื่ออย่างไรและการเตรียมตัวที่ดีที่ตรงจุดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติได้ง่ายขึ้น
ธนาคารพิจารณาปัจจัยอะไรเพื่ออนุมัติสินเชื่อ
ปัจจัยหลักที่ธนาคารใช้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อสามารถสรุปได้เป็น 4 ข้อหลักๆ หรือที่เรียกว่า “4C”
- ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity): ธนาคารจะประเมินจากรายได้และภาระหนี้สินในปัจจุบันของเรา เพื่อดูว่าเรามีรายได้เพียงพอที่จะผ่อนชำระหนี้ใหม่ได้หรือไม่
- อุปนิสัยทางการเงิน (Character): พิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ของเราจากข้อมูลเครดิตบูโร หากมีประวัติดี ไม่เคยผิดนัดชำระ ก็จะเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ
- เงินทุน (Capital): ดูจากเงินออมหรือสินทรัพย์ที่เรามี เช่น เงินดาวน์สำหรับซื้อบ้าน การมีเงินทุนสำรองที่มั่นคงจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับธนาคาร
- หลักประกัน (Collateral): ธนาคารจะพิจารณามูลค่าของทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกัน เช่น บ้านหรือที่ดิน ว่ามีมูลค่าเพียงพอต่อวงเงินสินเชื่อที่ขอหรือไม่
เทคนิคเตรียมกู้บ้านให้ได้อนุมัติไว
เพื่อให้กระบวนการขอสินเชื่อราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีบางเทคนิคที่จะช่วยให้การอนุมัติสินเชื่อบ้านเป็นไปได้ไวขึ้น
1. สร้างประวัติการทำงานที่มั่นคง
ธนาคารและสถาบันการเงินจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของเราเป็นอันดับแรก ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ความมั่นคงของรายได้
หากมีประวัติการทำงานที่ชัดเจน เช่น ทำงานประจำในบริษัทเดียวกันมาเป็นระยะเวลานาน (อย่างน้อย 1-2 ปี) จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีกว่าคนที่เปลี่ยนงานบ่อย ๆ และช่วงที่กำลังขอสินเชื่อก็ยังไม่ควรลาออก การว่างงานจะทำให้อนุมัติสินเชื่อยากขึ้น
และหากคุณเป็นเจ้าของกิจการ ควรแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอของรายได้และผลประกอบการที่เป็นบวกอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้ธนาคารมั่นใจว่าคุณมีกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการผ่อนชำระในระยะยาว
2. ลดภาระหนี้สินให้เหลือน้อยที่สุด
ก่อนที่จะยื่นขอสินเชื่อบ้าน ควรเคลียร์หนี้สินอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อรถยนต์
โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารจะพิจารณาจาก อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt-to-Income Ratio: DTI) ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ใช้ประเมินว่ารายได้ของเราถูกนำไปใช้เพื่อชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน หากภาระหนี้เดิมที่ยังค้างอยู่สูงเกินไป อาจทำให้ธนาคารมองว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้บ้านได้ไม่เต็มที่และอาจมีโอกาสผิดนัดชำระได้ในอนาคต
เช่น เรามีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท และ ภาระหนี้สินรวมต่อเดือน (เช่น ผ่อนบ้าน, ผ่อนรถ, ค่าบัตรเครดิต) 15,000 บาท
คำนวณ DTI = (15,000 บาท ÷ 50,000 บาท) x 100 = 30%
หมายความว่า ทุกๆ รายได้ 100 บาท จะถูกนำไปเป็นค่าภาระหนี้สิน 30 บาท ซึ่งโดยทั่วไป DTI ประมาณ 30-40% ถือเป็นเกณฑ์ที่ปลอดภัย
3. ออมเงินและชำระหนี้ตรงเวลา
วินัยทางการเงินเป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ เราควรเริ่มต้นจากการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการเงินของเรา และยิ่งถ้าเรามีเงินมาวางดาวน์สูงๆ ก็จะช่วยประหยัดยอดผ่อนบ้านในอนาคตได้
นอกจากนี้ การชำระหนี้ตรงเวลา ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือค่าผ่อนรถยนต์ จะช่วยสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ธนาคารใช้ประกอบการพิจารณา ยิ่งประวัติการชำระหนี้ของเราดีเท่าไหร่ โอกาสในการอนุมัติก็จะยิ่งสูงขึ้น
4. ตรวจสอบเครดิตเรตติ้ง (Credit Rating)
ก่อนยื่นขอสินเชื่อควรไปตรวจสอบ ประวัติข้อมูลเครดิตบูโร (เครดิตเรตติ้ง) ของเรากับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลประวัติการเงินของเราถูกต้อง
การตรวจสอบด้วยตัวเองจะช่วยให้เราทราบสถานะการเงินของตัวเองและแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น หากมีหนี้ที่ไม่ได้ก่อขึ้นแต่ปรากฏในระบบ เราสามารถแจ้งเรื่องเพื่อแก้ไขได้ทันที ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้ธนาคารได้รับข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดและไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการขอสินเชื่อ
5. หลีกเลี่ยงการยื่นขอสินเชื่อพร้อมกันหลายแห่ง
การยื่นขอสินเชื่อบ้านพร้อมๆ กันหลายๆ แห่งอาจส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตได้ เพราะธนาคารแต่ละแห่งที่ได้รับคำขอจะทำการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของเรา และการตรวจสอบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้ธนาคารมองว่าเรากำลังมีความต้องการเงินที่สูงผิดปกติและอาจมีความเสี่ยงที่จะก่อหนี้เกินตัว
ทางที่ดีควร ศึกษาเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละธนาคารอย่างละเอียด และเลือกธนาคารที่เหมาะสมที่สุดเพียง 2-3 แห่งเท่านั้นเพื่อยื่นขอสินเชื่อ
6. พิจารณาการกู้ร่วม
หากรายได้ของตัวเราคนเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อ ลองพิจารณาการ กู้ร่วมกับคนในครอบครัว ที่มีรายได้มั่นคง เช่น คู่สมรส พ่อแม่ หรือพี่น้อง การกู้ร่วมจะช่วยรวมรายได้ของผู้กู้ทุกคน ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นและมีโอกาสได้รับอนุมัติในวงเงินที่สูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ร่วมทุกคนควรพิจารณาความพร้อมและความสามารถในการชำระหนี้ร่วมกันอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
7. เปิดเผยและซื่อสัตย์
ข้อมูลที่ให้แก่ธนาคารควรเป็น จริงและครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลรายได้, ภาระหนี้สิน, หรือประวัติการทำงาน การปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังและอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สินเชื่อไม่ได้รับการอนุมัติ การเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคารและทำให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่น
การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้การขอสินเชื่อบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการอนุมัติที่รวดเร็ว หากเตรียมตัวตามเทคนิคเหล่านี้แล้ว การเป็นเจ้าของบ้านในฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ภาพ: beast01/Getty Images
อ้างอิง: