แม้สถานการณ์ราคารถยนต์คลาสสิกจะอยู่ในช่วงขาลงเหมือนกับของสะสมอื่นๆ จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่เปิดมาต้นปีก็มีข่าวดีให้กับตลาดรถยนต์คลาสสิกด้วยสถิติการประมูลรายการแรกของปีที่ Kissimmee 2024 และยอดขายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของเว็บไซต์ประมูลรถยนต์ชื่อดัง
ตลาดรถยนต์คลาสสิกในปี 2023 ค่อนข้างซบเซา เนื่องจากราคาลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2021 และ 2022 ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อนักสะสม โดยยอดขายรวมของรถยนต์คลาสสิกทั้งการประมูลออนไลน์และการประมูลสดลดลง 3% ในปีที่แล้ว เหลือ 4.19 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1.49 แสนล้านบาท จาก 4.32 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1.53 แสนล้านบาท ในปี 2022 ตามข้อมูลจาก Classic.com และราคาของรถยนต์คลาสสิกหลายรุ่นลดลงราวๆ 10% หรือมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม Bring a Trailer เว็บไซต์ประมูลรถยนต์สะสมออนไลน์ กลับมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 2% เป็นมากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 4.98 หมื่นล้านบาท จาก 1.35 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 4.8 หมื่นล้านบาท ในปี 2022 ซึ่งขายรถได้มากกว่า 30,000 คันเมื่อปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า การเติบโตนี้ช่วยชดเชยราคาที่ลดลงของรถยนต์คลาสสิกที่ปัจจุบันราคาเฉลี่ยบนเว็บไซต์ลดลงเหลือ 54,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.9 ล้านบาท ในปี 2023 จาก 59,500 ดอลลาร์ หรือราวๆ 2.1 ล้านบาท ในปี 2022
ภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นที่ผันผวน และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์สะสมลดลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้เสนอขายและเสนอซื้อ เพียงแต่อยู่ในราคาที่ไม่ได้สูงเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าสถานการณ์ในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคามีเสถียรภาพ และอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปีนี้
ทิศทางของตลาดรถยนต์คลาสสิกอาจบอกได้จากอีเวนต์การประมูลแรกของปีที่ Kissimmee 2024 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1-14 มกราคมที่ผ่านมา ในงานนี้มีการนำรถยนต์ใหม่และรถยนต์คลาสสิกมากกว่า 3,000 คันมาขึ้นประมูล และมีไม่ต่ำกว่า 25 คันที่ทำราคาได้ในระดับล้านดอลลาร์
1970 Plymouth Hemi Cuda Convertible ราคาประมาณ 76 ล้านบาท
Plymouth Hemi Cuda Convertible ปี 1970 เป็นรถยนต์หายาก ผลิตขึ้นในปี 1970 ที่ติดตั้งเครื่องยนต์แบบ Hemi ซึ่งมีเพียง 666 คัน แต่มี 14 คันเท่านั้นที่มาพร้อมหลังคาอ่อนและระบบเปิดประทุน นอกจากนี้ยังมีระบบเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด
1967/1969 Chevrolet Corvette L88 ราคาประมาณ 91.7 ล้านบาท
รถยนต์สองคันที่ขายรวมในล็อตเพราะเป็นรุ่นที่ผลิตในปีแรกและปีสุดท้ายของ Corvette L88 โดย L88 เปิดตัวในปี 1967 และยังคงผลิตอยู่จนถึงปี 1969 ซึ่ง Chevrolet ขาย L88 ได้เพียง 20 คันในปี 1967 และส่งมอบได้เพียง 116 คันในปี 1969 นอกจากนี้ รุ่นปี 1967 ยังเป็น L88 เปิดประทุนเพียงรุ่นเดียวที่ทำออกมาในสีทักซิโด้แบล็ก
1958 Ferrari 250 GT Alloy Berlinetta ราคาประมาณ 99.5 ล้านบาท
เรียกได้ว่า 250 GT คันนี้คือนักแข่งตัวจริง เพราะเคยลงแข่งรถอย่างน้อย 13 ครั้ง และคว้าแชมป์ Coppa Sant Ambroeus ในปี 1958 นอกจากนี้ยังคว้าชัยชนะจากการแข่งขัน Coppa della Consuma ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุในปี 1961 รถคันนี้ได้รับการบูรณะในปี 1987 และแข่งขันที่ Tour de France และ Mille Miglia ในปี 1990 หลังจากนั้นก็ได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี 2012 โดยมีเครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.0 ลิตรทดแทน และเกียร์ธรรมดา 4 สปีดแบบเดิม
1992 Ferrari F40 ราคาประมาณ 120.8 ล้านบาท
F40 ค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง 250 GT เพราะผลิตในปี 1992 หรืออายุเพียง 32 ปี อย่างไรก็ตาม รถคันนี้เป็นหนึ่งใน 22 คันที่ผลิตสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 1992 โดย F40 คันนี้ยังถูกใช้งานไม่มาก เพียง 13,982 กิโลเมตรเท่านั้น
1965 Shelby 427 Competition Cobra ราคาประมาณ 148.5 ล้านบาท
Shelby 427 Cobra เป็นหนึ่งในรุ่น Competition ดั้งเดิมเพียง 23 รุ่น ที่ยังคงรักษาตัวถังแบบเดิมไว้ ซึ่งได้รับการบูรณะโดย Legendary Motorcar Company ตามข้อกำหนดดั้งเดิม จนติดอันดับหนึ่งในรถที่แพงที่สุดของรุ่น Cobra เลยทีเดียว
1966 Ford GT40 MK1 Road Car ราคาประมาณ 246.3 ล้านบาท
นี่คือ GT40 เวอร์ชันที่ใช้บนท้องถนนได้ตามกฎหมาย ซึ่งมีเพียง 31 คันที่ Ford Advanced Vehicles ผลิตในปี 1966 โดยคันนี้ยังคงความเป็นต้นฉบับและไม่เคยแสดงต่อหน้าสาธารณชนมาตั้งแต่ปี 1990 อีกทั้งยังครองสถิติเป็นหนึ่งในรถคลาสสิกอเมริกันที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูล ในราคาเกือบ 7 ล้านดอลลาร์
1967 Ferrari 275 GTS/4 NART Spyder ราคาประมาณ 825.2 ล้านบาท
นี่คือรถยนต์สีเงิน 1 ใน 10 ของรุ่นนี้ และเป็น NART Spyder ตัวสุดท้ายที่ Luigi Chinetti นำเข้ามายังสหรัฐอเมริกา ซึ่งคันนี้ยังคงแผงตัวถังแบบเดิม และเครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.3 ลิตร แต่ชิ้นส่วนด้านหลังได้รับหลังจากการบูรณะใหม่ทั้งหมด โดยทำราคาไปสูงที่สุดถึง 825.2 ล้านบาท
อ้างอิง: