×

6 ทรงผมระดับ ‘ไอคอนิก’ ที่สร้างภาพจำให้กับ 5 ศิลปินหญิงผู้มีอิทธิพลต่อโลก

14.07.2019
  • LOADING...

แน่นอนว่าผลงานในวงการบันเทิงจะวัดความสามารถของคน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งจะช่วยสร้างภาพจำให้คนดูตั้งแต่แรกเห็น เชื่อเถอะว่า ศิลปินแทบทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และคาแรกเตอร์ของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะตัดสินก้าวถูกหรือก้าวพลาด ก็ล้วนแต่มีสิทธิ์จะถูกจดจำและพูดถึงไปตลอด

 

และ ‘ทรงผม’ นี่แหละคือหนึ่งในเครื่องมือเปลี่ยนลุค สร้างคาแรกเตอร์ที่ทรงพลัง และใช้ได้ผลมากที่สุด พิสูจน์ได้จาก 6 ไอคอนิกหญิงที่เลือกมา บอกเลยว่า พวกเธอล้วนแล้วแต่มีคาแรกเตอร์โดดเด่น ทรงอิทธิพลต่อผู้คนชนิดที่ทำให้โลกต้องจำ!


 

Diana Ross

นักร้องหญิงเชื้อสายแอฟริกันที่ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งในยุค 70 ด้วยสไตล์การร้องอาร์แอนด์บี, โซล, ดิสโก้ และป๊อป เธอเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำวง The Supremes ในช่วงยุค 60 ก่อนจะฉายเดี่ยวในยุค 70 และโด่งดังราวพลุแตกด้วย Touch Me In The Morning, You Are Everything และ Theme From Mahogany (Do You Know Where You’re Going To) และในปี 1972 เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงนำหญิงจากภาพยนตร์เรื่อง Lady Sings The Blues สร้างจากหนังสืออัตชีวประวัติของ บิลลี ฮอลิเดย์

ทรงผมของเธอนั้นเป็นที่จดจำด้วยความใหญ่และหยิก จะเรียกว่าเป็นทรงแอโฟรแบบสมัยใหม่ก็ว่าได้ ไดอานา รอสส์ ถูกจัดให้เป็นผู้หญิงที่มีสไตล์และเทรนดี้สุดๆ ซึ่งในปัจจุบันนักร้องสาวที่กลายเป็นตำนานในวัย 75 ยังคงยึดทรงผมนี้เป็นทรงผมประจำตัวแทบจะทุกครั้งที่เราเห็นเธอในสื่อต่างๆ เธอจะมาด้วยทรงผมเดิมเสมอ เรียกว่าเป็นคนที่สร้างภาพจำได้ยาวนานที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์นักร้องหญิง

 

 

Beyoncé

บียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์ หรือควีนบีของแฟนๆ คือศิลปินที่มีอิทธิพลต่อโลกที่สุดคนหนึ่ง เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้กับหญิงสาวมากมายในเรื่องของความพยายามเพื่อไขว่คว้าความสำเร็จในชีวิต 

 

บียอนเซ่ เกิดวันที่ 4 กันยายน 1981 เกิดและเติบโตที่ฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส เริ่มสนใจการร้องเพลงมาตั้งแต่ 8 ขวบ เสียงของเธอถูกจัดอยู่ในกลุ่มเมซโซ-โซปราโน (เสียงสูงสุดของผู้หญิง) โดยเริ่มเข้าประกวดมากมายหลายรายการ และเธอเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงปี 1990 ในฐานะสมาชิกคนสำคัญของ Destiny’s Child วงดนตรีหญิงผิวสีแนวอาร์แอนด์บีชื่อดังในยุคนั้น 

 

ต่อมาในปี 2003 ระหว่างการพักงานของวง Destiny’s Child บีได้ออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นครั้งแรก Dangerously In love ซึ่งอัลบัมนี้ก็ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้นด้วย 

 

เมื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว เธอตัดสินใจออกอัลบัมที่สองนั่นก็คืออัลบั้ม B’Day วางขายในปี 2006 ซึ่งนั้นทำให้วง Destiny’s Child ที่ประกอบด้วยมิเชลและเคลลีตัดสินใจลาจากกัน เพื่อไปทำอัลบัมเดี่ยวของตนเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับบี อัลบัมที่ 2 นี้เธอเปิดตัวอันดับ 1 บน Billboard มีซิงเกิลฮิตอย่าง Dejavu, Irriplacible, และ Beautiful Lier จากนั้นเธอก็เริ่มผลิตทั้งซิงเกิลและอัลบั้มคุณภาพออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังเป็นระยะๆ ทั้งในปี 2008 กับอัลบั้ม I Am Sasha Firce ซึ่งมีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 อยู่ทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับ 1 มากที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2000 

 
วันที่ 24 มิถุนายน ปี 2011 บียอนเซ่ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 ใช้ชื่อว่า Four โดยค่ายเพลง Columbia Record  และแน่นอนว่า เธอนำเพลงขึ้นแท่น Billboard อันดับที่ 1 ใน Billboard Hot 200 ได้อย่างสวยงาม และถัดมาอีก 1 ปี เธอก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวนามว่า บลูไอวี แต่เธอก็ยังคงเดินหน้าในวงการเพลงต่อ โดยในวันที่ 13 ธันวาคม 2013 บีได้ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 5 ใช้ชื่อว่า Beyoncé ลงบน iTunes รวดเดียว 14 เพลง สร้างปรากฏการณ์เหนือความคาดหมายในวงการเพลงส่งท้ายปี และประกาศทัวร์คอนเสิร์ตของเธอ

 

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2016 บียอนเซ่ กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่กับซิงเกิลใหม่ Formation ในงาน Super Bowl ประจำปี ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมในแง่ของการยืนหยัดสู้เรื่องเหยียดสีผิว หลังจากนั้นเธอก็ประกาศทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก ‘The Formation World Tour’ ในทันที ทำให้ในปี 2016 บียอนเซ่ และ เจย์ซี ครองบัลลังก์คู่รักเซเลบริตี้ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก จัดอันดับโดย Forbes ด้วยรายได้ตลอดปีที่ผ่านมารวมกันกว่า 107.5 ล้านดอลลาร์ (จาก บียอนเซ่ 54 ล้านดอลลาร์ จาก เจย์ซี 53.5 ล้านดอลลาร์)

แน่นอนว่า ระยะเวลาเกือบ 30 ปีนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของลุคและสไตล์จากเธอมากมาย ก่อนหน้านี้ที่เห็นจะเป็นแค่ลอนง่ายๆ ที่ดูธรรมดา ก่อนที่จะมาพบทรงผมซิกเนเจอร์แสกกลางเคิลใหญ่ ที่เธอเลือกมาใช้ในการแสดงเกือบทุกครั้ง ถ้าเกิดจำได้ เคยมีคลิปวิดีโอไวรัลไปทั่วโลกโซเชียลนั่นคือ การแสดงสดของเธอเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผมเธอดันถูกดูดเข้าไปติดกับพัดลมหน้าเวที ในขณะที่จะลงมานั่งร้องเพลงแบบใกล้ชิดกับแฟนๆ ซึ่งหลังจากเหตุการนั้นเราจึงได้เห็นบีในลุคใหม่เป็นผมบ๊อบสั้น ในเพลง Pretty Hurt ซึ่งก็อย่างว่า สายเต้นสายสะบัดมันไม่สะใจถ้าไม่มีผม เธอจึงต่อผมและกลับมาเป็นทรงเดิม เธอคือหนึ่งในผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อโลกที่สุดคนหนึ่ง

FYI: 

อยากให้ลองไปสังเกต นอกจากหน้าม้าลิซ่าที่ไม่ขยับแล้ว แสกผมของบียอนเซ่ก็ไม่เคยแตกเช่นกัน สะบัดแรงแค่ไหน สุดท้ายก็กลับมาแสกกลางและไม่บังหน้า เทคนิคคือ การอัดสเปรย์ฟิกซ์ผมให้อยู่ทรง เราเข้าใจว่าเธอนั้นไม่อยากให้อะไรมาเป็นอุปสรรคในการแสดง เพราะเธอคือ เพอร์เฟกชันนิสต์

 


Adele
ศิลปินโซลชาวอังกฤษคนนี้เริ่มเข้ามาสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเพลงในยุคหลังปี 2010 ทั้งการเขียนเพลงและเสียงร้องทรงพลัง พร้อมเอกลักษณ์ทางเสียงอันโดดเด่น

 

อเดลเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ XL Recordings ในปี 2006 ด้วยความบังเอิญที่เพื่อนเธอโพสต์เพลงที่เธอแต่งเองลงบน Myspace ซึ่งทำให้ในปี 2007 อัลบั้มชุดแรกของเธอก็ได้ออกมา และอัลบัม 19 ที่ตามมาด้วยชื่อเสียง ความสำเร็จ และรางวัลทางดนตรีอีกมากมาย โดยเฉพาะการคว้ารางวัล Grammy Awards ในสาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม และสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

 

หลังจากผ่านไป 2 ปี เธอกลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มชุดที่สอง 21 (2011) ที่ความสำเร็จนั้นพุ่งทะยานแบบหยุดไม่อยู่ ถึงขั้นได้รับการบันทึกใน Guinness Book of World Records ว่าเธอคือนักร้องหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของ Billboard Hot 100 ที่มีถึง 3 เพลงติดบนชาร์ตท็อป 10 พร้อมกัน และถัดมาในปี 2015 เธอก็ได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งกับเพลง Hello ในอัลบัมชื่อ 25 ที่ทำเอาแฟนๆ ร้องกันติดปากทั่วบ้านทั่วเมือง ถึงแม้ตอนนี้อัลบัมสุดท้ายของเธอจะผ่านมา 4 ปี แต่เพลงของเธอก็ยังเป็นที่จดจำและพูดถึงอยู่ อเดลคือนักร้องหญิงที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงมีดีแค่เส้นทางดนตรี แต่คาแรกเตอร์ที่ชัดเจนของเธอจึงทำให้แฟนๆ เธอทั่วโลกต่างหลงรัก

อเดลคือศิลปินหญิงอีกคนที่เรียกว่าน้อยแต่มากเรียบแต่โก้ นักร้องสาวชาวอังกฤษผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับสาวอวบทุกคนให้ลุกขึ้นมาแต่งหน้าเข้มขึ้น รวบผมตีโป่งตามเธอ ผมที่ยียกโคนแล้วรวบแบบหลวมของเธอนั้น เป็นภาพจำของเธอไปโดยปริยายจากเพลง Set Fire To The Rain 

 

เธอคือมิติใหม่ ความมั่นใจที่ท่วมท้น เรียกว่าเธอคือผู้หญิงอวบที่ดูโก้และหรูหรามากในช่วงเวลานั้น ทรงผมเธอจึงถูกหยิบยกมาเป็นเรเฟอเรนซ์ในร้านทำผมอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นผมเธอก็มีการเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่เธอยังคงทำอยู่เสมอก็คือ การยียกโคนเพื่อเพิ่มความใหญ่ให้กับทรงและสร้างให้รูปหน้าดูเล็กลงได้




Rihanna
ริฮานนา เป็นนักร้องแนวฮิปฮอปอาร์แอนด์บี อัลบั้มชุดแรก Music of The Sun ออกวางขายในเดือนสิงหาคม ปี 2005 และเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นกับอัลบั้มชุดที่ 2 A Girl like Me ซึ่งมีเพลงดัง SOS และเมื่อก้าวเท้าเข้าอัลบัมที่ 3 Good Girl Gone Bad ในปี 2007 กับซิงเกิลแรก Umbrella ที่ร่วมร้องโดย เจย์-ซี ก็ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป เพลงเธอขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ อีกทั้งยังคว้ารางวัล Video of The Year จากเพลง Umbrella ในงาน MTV Video Music Awards ไปได้ นับว่าเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดรางวัลหนึ่งของปี และเธอยังได้รับการเสนอเข้าชิง 9 รางวัลจากรางวัล Grammy Awards ซึ่งเพลง Umbrella ก็สามารถคว้ารางวัลสาขา Best Rap/Sung Collaboration ไปครอง นับจากนั้นมาเธอก็พุ่งทะยานขึ้น และมีเพลงติดทั้งหูติดทั้งชาร์ตอย่างเพลง Don’t Stop The Music, Take A Bow และ Disturbia โดยในปี 2009 เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่ค่าย Roc Nation ของ เจย์-ซี จนถึงปัจจุบัน

‘บ๊อบเท’ คำนี้คุ้นหูกันบ้างไหม ทรงบ๊อบเทที่ผมสั้นข้างยาวข้างมาพร้อมกับเพลงที่ติดปากอย่าง Umbrella ของเธอ กวาดน้ำไปสะบัดผมไป ผมทรงนี้ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้หญิงเช่นเดียวกัน จากสาวๆ ที่พยายามเลี้ยงผมยาวเพื่อให้ได้ลุคหวาน ก็ปรับมาเป็นการตัดผมสั้นเพื่อสร้างลุคที่เปรี้ยวและแตกต่าง



 

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ ‘Bad Girl Riri’ สร้างให้ผู้หญิงทั่วโลกหั่นผมสั้นกุด เรียกว่าไถผมลอยๆ กันไปเลย นอกจากเพลงที่เปลี่ยนไป ทรงผมยังเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเธอที่คนจดจำได้ ลุคที่เปลี่ยนไปจากผู้หญิงที่ดูเปรี้ยวก็เพิ่มความเท่เข้าไปอีกหนึ่งมิติ จึงทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบมาก และสร้างฐานแฟนคลับมากยิ่งขึ้น หลังจากผมทรงนี้ เธอก็เริ่มเข้าสู่ยุคของ Queen of Style ที่เปลี่ยนลุคไม่ซ้ำในแต่ละงาน ทั้งสตรีท หรูหรา เธอก็เอาอยู่หมด นับว่าพัฒนาการด้านสไตล์ของเธอนั้นทะยานขึ้นแบบก้าวกระโดด จนทำให้สื่อแฟชั่นกระหายอยากให้เธอมาลงปกกันแบบไม่มีที่ว่างให้คนอื่นเลยก็ว่าได้


 

Ariana Grande
นักร้องและนักแสดงชาวอเมริกัน นับตั้งแต่วัยเด็ก จิตใจเธอก็ถูกผูกติดกับเสียงดนตรีมาโดยตลอด ในปี 2013 อะรีอานา กรานเด ได้ออกอัลบั้มแรก Your Truly ซึ่งอัลบัมแรกของเธอได้ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต Billboard Hot 200 ตั้งแต่สัปดาห์แรก และในปีถัดมา เธอก็ดังจนฉุดไม่อยู่ด้วยเพลง Break Free ในชื่ออัลบัม My Everything ด้วยเนื้อหาที่โดนใจกลุ่มแฟนเพลงกับภาพลักษณ์ของเธอที่เปลี่ยนไปทั้งการแต่งหน้าและทรงผมที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น

ปี 2014 ผู้คนจดจำอะรีอานาได้ในฐานะศิลปินที่มีความโดดเด่นเรื่องเสียงร้อง อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและไม่ซ้ำใคร เรียกว่าผมรวบหางม้าสูงที่มีปลายผมยาวเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราจำเธอได้เวลาเห็นเธอผ่านสื่อ ถ้าหลายคนสังเกต บ่อยครั้งที่เธอแสดงหรือมีการพูดคุย เธอจะสางหางม้าของเธอให้มาอยู่ด้านหน้าตลอดเวลา หลังจากนั้นไม่นานทรงผมหางม้าก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่เซเลบริตี้มากมาย จากการสันนิษฐาน คิดว่าการรวบผมหางม้าของเธอนั้นเพื่อเพิ่มความสูงของเธอ และความหนาของผมทำให้รูปร่างโดยรวมของเธอดูใหญ่ขึ้น นับตั้งแต่ปี 2014 ถึงปัจจุบัน เราก็ยังคงเห็นเธอทำผมทรงนี้อยู่บ่อยๆ เรียกว่าถ้าจะคอสเพลย์เป็นเธอ เลือกทรงผมนี้ก่อน เพระาถึงอย่างไรคนก็จำได้



ภาพประกอบ: tuckktuck

ภาพ: Getty Image

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising