หนึ่งเมืองที่เรามักจะได้ยินชื่อกันบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงประเทศในดินแดนโอเชียเนียอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ คงจะหนีไม่พ้น ‘เมลเบิร์น’ หนึ่งเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ที่ล่าสุดเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา The Economist Intelligence Unit หรือ EIU บริษัทผู้เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐกิจระดับโลก ได้จัดทำรายงาน The Global Liveability Report อันว่าด้วยการสำรวจเมืองทั่วโลกกว่า 140 เมือง ทั้งเรื่องสภาพเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม พร้อมนำมาจัดอันดับความดีงามในแต่ละด้าน เพื่อเป็นประโยชน์ในเรื่องความน่าเชื่อถือแก่นักธุรกิจ นักวิเคราะห์ ในการปรับเปลี่ยน พัฒนาตลาด หรือเลือกลงทุนในเมืองนั้นๆ ตลอดจนเป็นข้อมูลสำหรับนักเดินทางที่จะตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวด้วย
และผลก็อย่างที่ทราบกันในโพสต์นี้ “เมลเบิร์นถูกยกให้เป็น ‘เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก’ จาก The Economist 7 ปีซ้อน” ผลคือ เมลเบิร์น ถูกลงคะแนนให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกครั้ง และเป็นการยึดบัลลังก์มาตั้งแต่ปี 2011!
เราในฐานะคนเคยไปเยือนเมืองนี้ถึงจะแค่ครั้งเดียว แต่ก็เป็นครั้งเดียวที่พอจะหาเหตุผลให้ตัวเองหยอดกระปุกเพื่อให้ได้กลับไปเยี่ยมเยือนที่นั่นอีกบ่อยๆ เพราะมีปัจจัยมากมายเหลือเกินที่ทำให้เมืองนี้น่าอยู่ ตั้งแต่ผู้คน การเดินทาง ของกิน หรือแม้แต่บรรยากาศบนท้องถนน
เราขอยก 5 เหตุผลง่ายๆ ที่ว่าทำไม คุณจึงควรทุบกระปุกไปเที่ยวเมลเบิร์นสักครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่ต้องเอาตำแหน่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกมาสนับสนุนเหตุผลต่างๆ เพราะหลังจากสัมผัสเมลเบิร์นมาจริงๆ แล้ว ต่อให้ไม่ยกตำแหน่งให้ ที่นี่ก็น่าอยู่อยู่ดี!
- ขอวีซ่าไม่ยาก (ขนาดนั้น)
คนมักจะคิดว่าความยากเย็นของการไปเที่ยวต่างประเทศคือ ‘การขอวีซ่า’ ใช่ มันยากก็จริง แต่กับการเข้าประเทศออสเตรเลียนั้น ไม่ได้มีพิธีรีตองที่ซับซ้อน เพียงแค่คุณต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบเพื่อยื่นสถานทูต โดยในปัจจุบันออสเตรเลียได้เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีสิทธิในการขอวีซ่าออนไลน์ได้แล้ว ซึ่งง่ายพอๆ กับการจ่ายบิลค่าไฟที่ร้านสะดวกซื้อเลย!
เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ online.immi.gov.au สมัครบัญชี กรอกข้อมูลส่งไฟล์เอกสาร ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว หลังจากนั้นก็เดินทางไปเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ที่ศูนย์บริการของ VFS และรอฟังผล วีซ่าจะถูกส่งตรงมาหาคุณทางอีเมล พร้อมยื่นพาสปอร์ตให้ ตม. ตรวจอย่างสบายใจเมื่อเดินทางไปถึง เสียค่าใช้จ่ายราวๆ 4,000 บาทเท่านั้นเอง (โชคดีก็อาจจะได้แบบ Multiple 1 ปีหรือ 3 ปี บินมาเที่ยวได้บ่อยครั้งตามกำลังเงินได้ชิลล์ๆ)
- ระบบขนส่งมวลชนที่เลิศและครอบคลุมที่สุด
ไม่ใช่โฆษณาเครือข่ายสัญญาณมือถือ แต่เราจะบอกว่าเมลเบิร์นขึ้นชื่อเรื่องระบบขนส่งมวลชนที่ดีแสนดีจนอยากได้ระบบเขามาใช้ที่เมืองไทยบ้าง! เมลเบิร์นใช้บริการรถรางเป็นหลัก และที่นี่ยังเป็นระบบรถรางที่มีโครงข่ายใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งรถรางของเขานั้นให้บริการฟรี! ย้ำ ฟรี! แต่ฟรีเฉพาะในเขตวงแหวนรอบเมืองที่เขากำหนดไว้ ซึ่งก็ครอบคลุมสถานที่สำคัญๆ ในตัวเมืองเมลเบิร์นไว้เกือบทั้งหมด ทั้ง Flinder Street Station, Parliament House, โบสถ์ St.Paul, Bourke Street ถนนสายช้อปปิ้ง หรือ Etihad Stadium และหากเดินทางออกไปจากโซนดังกล่าวก็เสียเงินเพิ่มอีกแค่ไม่เท่าไหร่เองที่ราวๆ 1-2 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 26-52 บาทไทย
ที่นี่เขามีบัตร Myki ซึ่งเหมือนบัตรแรบบิทบ้านเรา เพียงเติมเงินเติมเที่ยว คุณก็สามารถเดินทางได้หมดทั้งรถไฟ รถเมล์ รถราง (อ๋อ ตรงนี้ที่บัตรบ้านเราไม่เหมือนเขาสินะ) และสามารถเดินทางได้ทั้งเมืองอย่างสะดวกสบาย รถมาตรงเวลา ราคาไม่แพง สะอาด และคนที่นี่ก็ใช้บริการกันอย่างหนาแน่น แผนที่ชัดเจน ไม่หลงง่ายๆ แน่นอน!
- ของกินที่หลากหลายและใส่ใจ
เรื่องของกินที่นี่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ หลากหลายไปด้วยอาหารง่ายๆ ทั่วไปที่เน้นแป้งเป็นหลักทั้งขนมปังหรือจำพวกพาสต้า ส่วนเรื่องกาแฟนี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะเราจะได้เจอร้านกาแฟเก๋ๆ อยู่ทุกหัวมุมถนน ซ่อนตัวอยู่ทุกที่ และหอมอร่อยถูกปากทุกร้าน เพราะเขาต่างมีวิธีการและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรสชาติที่แตกต่างกันไปมานำเสนอ
ร้านกาแฟขนาดกะทัดรัดละแวก Victoria Harbour
แต่ที่เรารักของกินที่นี่มากหน่อยก็เพราะเขาใส่ใจสุขภาพกันมากเหลือเกิน เพราะในเกือบทุกๆ ร้านจะมีเมนู Gluten Free (สำหรับคนแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของกลูเตน) รอเสิร์ฟอยู่ และเมนูเหล่านั้นก็จะมีความหวือหวาและเฮลตี้มากๆ จนอดไม่ได้ที่จะสั่งมาลองชิม เริ่มจากเมนูง่ายๆ อย่างไก่ทอดจิ้มซอสอะโวคาโด หรือออร์แกนิกโคล่าที่สกัดโคล่าและมะนาวมาแบบเพียวๆ อร่อยซดเพลินอย่าบอกใครเชียว
- ตระเวนย่านที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์
เมลเบิร์นก็ใช่ว่าจะไม่โก้เหมือนเมืองใหญ่ๆ ในประเทศอื่นๆ เพราะที่นี่ก็มีหลายๆ ย่านให้คุณได้ไปตระเวนเดินเล่นกัน อย่างเช่นย่าน Fitzroy อันลือลั่นว่าเป็นย่านฮิปๆ ที่ไม่ควรพลาด ย่านนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านอาหารเก๋ๆ ตลอดความยาวราว 3 กิโลเมตร ซึ่งไม่ใช่แค่อยู่ริมถนนใหญ่ เพราะในซอกซอยก็ยังมีสถานที่ลับๆ น่าสนใจอีกเพียบทั้งบาร์ ร้านดอกไม้ ร้านขายแผ่นเสียง ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ท้องถิ่นที่เก๋มีจริต ร้านขายของเก่า ร้านเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่ร้านขายอุปกรณ์ในสวนและต้นไม้ก็มี เดินกันให้ขาลาก
ส่วนอีกย่านในเมืองที่ฮอตฮิตก็คงหนีไม่พ้น Bourke Street โซนช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่นและห้างสรรพสินค้ามากมาย เหมาะกับขาช้อปนักแหละ! นอกจากนี้หากคุณเดินเล่นอยู่ในโซนเมืองเก่า ทุกๆ ย่าน ทุกๆ หัวมุมถนนจะมีการแสดงศิลปะต่างๆ ให้คุณได้ตื่นเต้นตลอดเวลา ทั้งการเล่นดนตรี การวาดภาพ ละครใบ้ หรือการร้องโอเปร่า ซึ่งมีการแสดงแบบนี้ทุกวัน ทุกมุมถนน ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจวบจนดึกดื่น ทำให้เมืองสนุกขึ้นอีกมากโข
- ราคาไม่ได้แรงเท่าที่คิด
อีกเรื่องที่หลายๆ คนน่าจะกังวล นั่นก็คือเรื่องค่าครองชีพและการเดินทาง ตั๋วเครื่องบินที่น่าจะแพง ที่พักที่น่าจะหายาก แต่ในความเป็นจริงแล้วราคานั้นไม่ได้แรงขนาดเอื้อมไม่ถึง
ในเรื่องการเดินทาง ถ้าหากคุณเลือกนั่งสายการบินราคาประหยัด นั่ง Economy Class ที่เวลาบินอาจจะนานสักนิดที่ 12 หรือ 15 ชั่วโมง อาจจะต้องไปรอต่อเครื่องสักหน่อยที่สิงคโปร์หรือกัวลาลัมเปอร์ (บินตรงจากกรุงเทพฯ อยู่ที่ราว 10 ชั่วโมง) แต่ราคาไปกลับนั้นอยู่ที่ราวๆ 15,000 บาท คงไม่แรงเกินไปและฟังดูน่าสนใจใช่มั้ย? ส่วนการเดินทางทั่วไปในเมืองเมลเบิร์น เราขอยืนยันว่ารถราง รถเมล์ รถไฟของที่นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่สำคัญค่าเดินทางรถสาธารณะถูกกว่าบ้านเราหลายเท่า ครอบคลุม สะอาด ปลอดภัย
ที่พักยิ่งไม่ต้องกังวลใหญ่ เพราะยุคนี้ Airbnb หรือ Hostel เก๋ๆ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เริ่มต้นที่หลักแปดร้อยปลายๆ ไปจนถึงสองพันสามพันบาทต่อคืน หรือถ้าอยากกินหรูอยู่สบาย ก็มีตัวเลือกโรงแรมชั้นนำให้เยอะพอสมควร
เหตุผลเหล่านี้อาจฟังดูง่ายเกินไปที่จะเชิญชวนให้คุณอยากทุบกระปุกบินไปเที่ยว แต่มันก็เป็นเหตุผลง่ายๆ ที่อยากให้คุณได้ลองหาโอกาสไปเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ตัวเอง เพื่อพบว่าโลกนี้มีอะไรที่น่าสนุกอีกมากมาย และเมลเบิร์นก็เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจรอคอยให้คุณไปสัมผัส