ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงาน กำหนดแนวคิด ‘Make it ‘Work’ for Every Future – ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน มุ่งยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค’ โดยขยายโอกาสระดมทุนสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดจากทั้งในและต่างประเทศ เน้นสร้างศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New Economy) ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ พร้อมพัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน
นอกจากนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล รวมทั้งสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ก้าวต่อไปของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งไปสู่เป้าหมาย 3 ด้าน คือ การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค, มุ่งสู่สินทรัพย์ดิจิทัล และให้ความสำคัญด้านคาร์บอนเครดิต เพื่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยแข่งขันได้ในยุคที่ทั่วโลกเต็มไปด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยจะดำเนินการผ่าน 5 แนวทาง ดังนี้
- ยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค ทั้งในด้านการเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มเติมทางเลือกการลงทุนต่างประเทศผ่านกลไกตลาดทุนไทย
- ขยายโอกาสการระดมทุนให้บริษัททุกขนาดในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งบริษัทขนาดใหญ่รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ (Mega Family Business) บริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) และ SMEs Startups พร้อมส่งเสริมการพัฒนา Data Platform สำหรับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data Pools) นำมาต่อยอดเป็นข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Data Analytics) อาทิ Industry Highlights สำหรับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร
“การเป็น Regional Financial Hub นั้น ตลาดหลักทรัพย์จะมุ่งผลักดันให้ธุรกิจในประเทศสามารถไปเติบโตในต่างประเทศได้ ในขณะเดียวกันบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในไทยก็ต้องสามารถระดมทุนในไทย เพื่อขยายกิจการต่อไปได้ด้วย ซึ่งเราก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้บริษัทต่างประเทศสามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนได้หลายรูปแบบ เช่น Holding Company, Primary Market, Secondary Market รวมถึงออกกองทรัสต์ ก็สามารถทำได้หมด”
- พัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนยุคใหม่
- เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่แข็งแกร่ง โดยพิจารณาในการนำเทคโนโลยี AI และ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนางานในหลายด้านเพิ่มขึ้น เช่น ระบบกำกับดูแลการซื้อ-ขายและบริษัทจดทะเบียน ระบบช่วยนักวิเคราะห์ในการจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก ระบบแปลเนื้อหาข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือความรู้ด้านการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ รวมทั้งแนะนำบริการด้านต่างๆ ตามโจทย์พฤติกรรมผู้ลงทุน (Personalization) ฯลฯ
- ขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และบุคลากรตลาดทุน ให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสจากประเด็นความยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาการของกฎเกณฑ์กำกับใหม่ๆ เช่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis), ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และสิทธิมนุษยชน (Human Rights)
“การจะทำอย่างไรให้ บจ. สามารถใช้สิ่งต่างๆ ที่ทำมาเกี่ยวกับ sustainability ได้สะดวกขึ้นก็คือคาร์บอนเครดิตโปรดักต์ ปัจจุบันที่ตลาดหลักทรัพย์มีการทำรายงานเกี่ยวกับ Sustainability ว่าทำอย่างไรบ้าง ทำให้ บจ. เอาไปใช้ในการทำเรื่องคาร์บอนเครดิตโปรดักต์ได้ ซึ่งจะลดผลกระทบด้านการกีดกันทางการค้าได้” ภากรกล่าว
ปัจจัยการเมืองภายในไม่กระทบบรรยากาศ
ภากรกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปัจจัยลบและความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เชื่อว่าไม่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเชื่อว่าการซื้อ-ขายในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและกำไร บจ. เป็นส่วนมาก และหากมาดูแนวโน้มกำไร บจ. ไทย เชื่อว่าเราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และตอนนี้เริ่มดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ-ต่างประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งภาครัฐบาลไทยเองก็มีงบประมาณในการใช้จ่ายที่ชัดเจน
“ที่น่าสนใจคือ Sentiment นักลงทุนต่างประเทศที่ตอนนี้ดีขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่เงินไหลออกจากไทยค่อนข้างเยอะ แต่ปีนี้เงินไหลออกน้อย ลงทุนมาก แม้จะมีข่าวต่างๆ เกิดขึ้น และในบางช่วงเราได้เห็นตัวเลขนักลงทุนต่างประเทศไหลกลับด้วยซ้ำ” ภากรกล่าว
ส่วนกรณีการดึง LFT กลับมาอีกครั้งนั้น เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน