พล.อ. เอริก ชินเซกิ อดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก กล่าวถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารจัดการนายทหารทั้งกองทัพกว่า 5 แสนนาย ในสุนทรพจน์เกษียณอายุราชการเมื่อปี 2003 ว่า “You must love those you lead before you can be an effective leader” หรือ “จงรักบรรดาผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคุณ คุณถึงจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้”
หลายคนที่ได้ยินอาจแอบส่ายหน้ากับความคิดที่ออกจากอุดมคติเกินเอื้อมถึง โดยเฉพาะสำหรับโลกการทำงานในปัจจุบันที่ยากลำบากและมีการแข่งขันสูง
อย่างไรก็ตาม คริส โลว์นีย์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะความเป็นผู้นำ การตัดสินใจและการสร้างทีม ได้แสดงความเห็นต่อแนวคิดดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ Forbes ว่า คำแนะนำของ พล.อ. เอริก ชินเซกิ ข้างต้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ และแนวคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นกลยุทธ์ 3 ประการที่ใครๆ ก็สามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยความรักไปสู่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน สำหรับการบริหารทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมขนาดเล็กไปจนถึงทีมข้ามชาติขนาดใหญ่
กลยุทธ์ทั้ง 3 ประการข้างต้นที่ว่าประกอบด้วย 1. อย่าคิดว่าลูกน้องมีหน้าที่เชื่อและให้ความร่วมมือกับคุณ 2. อย่าให้ความต้องการของตนเองมาก่อนทีม และ 3. อย่าพอใจอยู่แค่การปั้นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถมากกว่าการสร้างลูกน้องที่มีภาวะความเป็นผู้นำ
อันดับแรก ทำให้ทีมเคารพและเชื่อมั่นในตัวคุณอย่างจริงใจ อย่าทึกทักเอาว่าการเป็นลูกน้องจะต้องจงรักภักดีต่อเจ้านายโดยปริยาย โดย พล.อ. เอริก ชินเซกิ กล่าวว่า คุณอาจมีอำนาจสั่งการใดๆ ก็ตามให้ลูกน้องปฏิบัติตาม แต่เขาจะไม่ยอมรับคุณเป็นผู้นำอย่างแท้จริงจนกว่าคุณจะแสดงว่าคุณรักและเคารพในความเป็นมนุษย์ของลูกน้องของคุณ ภาวะความเป็นผู้นำ หรือ Leadership แตกต่างจากการเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ความเป็นผู้นำคือการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ อยากทำงานกับคุณหรือทำงานให้คุณ
อันดับสอง ให้ความสำคัญกับความต้องการของสมาชิกในทีม โดยความต้องการนั้นต้องมาก่อนความต้องการของตนเอง พล.อ. เอริก ชินเซกิ อธิบายว่า ผู้นำที่มีประสิทธิภาพคือผู้นำที่ต้องยินดีเต็มใจเสียสละ หรือจัดการบรรเทาประเด็นละเอียดอ่อนทั้งหลายอย่างความก้าวหน้า สวัสดิภาพส่วนบุคคล ความปลอดภัยของผู้อื่นก่อนของตนเอง คนส่วนใหญ่มักจะทำได้เพื่อสมาชิกในครอบครัว น้อยมากที่จะยอมเสียสละเพื่อเพื่อนร่วมงาน แม้ว่าการทำงานในที่ทำงานจะไม่ได้เรียกร้องให้ลูกน้องต้องอุทิศชีวิตเพื่อทีม แต่อย่างน้อยที่สุดการเป็นผู้นำที่ดีตามฉบับของ พล.อ. เอริก ชินเซกิ ก็เตือนให้รู้ว่าอย่าเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ และให้ความต้องการของทีมมาก่อนสถานะหรืออัตตาของตนเอง
อันดับสาม คือสิ่งที่ตามมาจากข้อก่อนหน้า นั่นคือการพัฒนาศักยภาพของทุกคนที่ไว้วางใจและเชื่อมั่นที่จะก้าวเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารงานของคุณ การให้ความสำคัญกับทีมเป็นอันดับแรกหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้สมาชิกในทีมเติบโตและเจริญรุ่งเรือง
โดยสิ่งที่ พล.อ. เอริก ชินเซกิ กล่าวอยู่เสมอคือ “กองทัพต้องทำสองสิ่งให้ดีในแต่ละวัน ฝึกทหารและพัฒนาพวกเขาให้เป็นผู้นำ” ซึ่งสำหรับในโลกของการทำงาน การฝึกฝนถือเป็นส่วนหนึ่งของงานบริหารที่มักเรียกกันว่าเป็นการพัฒนาทักษะหรือพัฒนาความเป็นมืออาชีพ และผู้นำที่ดีและรักที่จะให้เกียรติลูกน้องตามแบบฉบับของ พล.อ. เอริก ชินเซกิ จะไม่เพียงทำให้ลูกน้องกลายเป็นคนที่มีความสามารถมากขึ้นเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำพร้อมที่จะช่วยผลักดันให้ทีมไปข้างหน้าต่อไปได้
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
อ้างอิง: