×

ครบรอบ 24 ปี สุดยอดเกมพรีเมียร์ลีกที่เร้าใจที่สุดตลอดกาล ‘ลิเวอร์พูล 4-3 นิวคาสเซิล’

03.04.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดไม่เคยคว้าแชมป์ลีกมาตั้งแต่ปี 1927 และหวังว่า พวกเขาจะทำได้สำเร็จด้วยทีมที่ใครต่อใครต่างยกย่องว่า เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลเกมรุกได้เร้าใจที่สุดตลอดกาลทีมหนึ่งของฟุตบอลอังกฤษ
  • แค่เพียง 97 วินาที คู่หัวหอกเจ้าถิ่นก็แผลงฤทธิ์เมื่อ สแตน คอลลีมอร์ เปิดบอลเข้ามาให้ ร็อบบี ฟาวเลอร์ ขึ้นโขกในระยะเผาขนให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำอย่างรวดเร็ว
  • ผลเสมอน่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับทั้งสองทีมในเกมที่ดุเดือดเลือดพล่านแบบนี้ แต่แล้วในนาทีที่ 2 ของการทดเวลาบาดเจ็บ สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

ในช่วงที่แม้แต่คนบนฟ้าก็ไม่รู้ว่าเกมฟุตบอลที่เรารักจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งเมื่อไร หนึ่งในสิ่งที่คอลูกหนังหลายคนทำได้ในยามนี้คือ การเปิดกล่องความทรงจำย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ดีในวันวาน

 

ท่ามกลางความทรงจำลูกหนังที่ดีมากมาย หนึ่งในเรื่องเล่าที่ยังคงเป็นนิยายอมตะสำหรับแฟนฟุตบอลอังกฤษ โดยเฉพาะแฟน ‘หงส์แดง’

 

ลิเวอร์พูล คือเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่างแท้จริง และยังไม่มีเกมใดสามารถโค่นล้มได้ แม้วันเวลาจะผ่านมาถึง 24 ปีแล้ว

 

เกมดังกล่าวคือเกมระหว่าง ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล กับ ‘สาลิกาดง’ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1995/96 ในช่วงที่พรีเมียร์ลีกยังคงถูกเรียกขานในชื่อพรีเมียร์ชิป ชุดแข่งฟุตบอลอยู่ใน ‘ยุคทอง’ ที่การออกแบบมีความสวยงามลงตัวเหนือกาลเวลา ลูกฟุตบอล Mitre ที่เด็กทุกคนในโลกต่างหลงใหล

 

บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในเช้าวันพุธที่ 3 เมษายน วันนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนำเป็นจ่าฝูงอยู่ พวกเขาได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษแล้ว แต่ยังต้องการที่จะพิชิตแชมป์พรีเมียร์ชิปให้ได้ หลังจากที่ต้องพลาดหวังอย่างน่าเจ็บปวดในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลเมื่อไม่สามารถจะเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 1994/95 ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาล แสดงให้เห็นถึงสปิริตด้วยการล้มแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ที่มีราชาของสโมสร เคนนี ดัลกลิช นำทัพ จนทำให้เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายเดอะ ค็อป ได้ร่วมฉลองไปกับ ‘คิง’ ของพวกเขาและเย้ยหยัน

 

คู่แข่งตัวจริงของยูไนเต็ดคืออีกหนึ่งยูไนเต็ดที่อยู่ทางนอร์ธอีสต์อย่างนิวคาสเซิล อีกหนึ่งสโมสรที่ต้องการทำแบบเดียวกับแบล็กเบิร์น ที่คว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 81 ปี แชมป์ที่ทำให้ แจ็ก วอล์กเกอร์ ประธานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่สามารถตายตาหลับได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องทุ่มเงินมหาศาลและถูกประณามหยามเหยียด เพราะการทุ่มเงินแบบนี้ในยุคสมัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

 

นิวคาสเซิลไม่เคยคว้าแชมป์ลีกมาตั้งแต่ปี 1927 และหวังว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จด้วยทีมที่ใครต่อใครต่างยกย่องว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลเกมรุกได้เร้าใจที่สุดตลอดกาลทีมหนึ่งของฟุตบอลอังกฤษ ภายการนำของ เควิน คีแกน อีกหนึ่งฮีโร่ของลิเวอร์พูลและชาวอังกฤษที่สร้าง ‘เดอะ แม็กพายส์’ ให้กลายเป็นทีมฟุตบอลที่โลกต้องจดจำ ภายใต้การสนับสนุนของ เซอร์จอห์น ฮอลล์ ประธานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น

 

ถึงแม้พวกเขาจะเสียกองหน้าคนสำคัญอย่าง แอนดรูว์ โคล ให้แก่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดที่ยอมขายอาวุธหลักให้คู่แข่งแลกกับเงิน 7 ล้านปอนด์ แต่พวกเขาก็ได้กองหน้าในระดับใกล้เคียงกันอย่าง เลส เฟอร์ดินานด์ มาผนึกกำลังร่วมกับ ดาวิด ชิโนลา, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ 

 

ทีมแห่งความภูมิใจของชาวจอร์ดี คว้าชัยชนะได้ถึง 11 จาก 13 นัดแรก และในช่วงกลางเดือนมกราคมพวกเขานำห่างยูไนเต็ด รวมถึงลิเวอร์พูลอยู่ถึง 12 แต้ม โดยเหลือเกมให้แข่งอีก 15 นัด

 

อย่างไรก็ดี เทพีแห่งโชคเริ่มจะไม่หันมายิ้มให้กับพวกเขา แม้คีแกนจะเลือกเสริมทัพด้วยนักเตะจอมลีลาอย่าง ฟาอุสติโน อัสปริยา ไอ้กะเร็งดำจากโคลอมเบีย ซึ่ง ‘คิงเคฟ’ คิดว่าดีกว่า ฌอง ปิแอร์ ปาแป็ง ยอดดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งหลังจากการได้เขาเสริมทัพมาผลงานของนิวคาสเซิลก็เริ่มมีอาการสะดุด

 

จากนำ 12 แต้ม พวกเขากลับมาตามหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 แต้ม และสนามต่อไปที่พวกเขาต้องไปเยือนคือแอนฟิลด์

 

ลิเวอร์พูลในเวลานั้นเอง ห่างหายจากแชมป์ลีกมา 5 ฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลานานที่เกินไปแล้วในความรู้สึกของเหล่าเดอะ ค็อป ณ ตอนนั้น ทีมภายใต้การนำของ รอย อีแวนส์ กำลังเล่นได้อย่างเข้าฝัก มีสไตล์การเล่นที่สวยงาม เร้าใจ ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคู่กองหน้าไดนาไมต์ ‘ก็อด’ ร็อบบี ฟาวเลอร์ และสแตน ‘เดอะ แมน’ คอลลีมอร์ ที่ดีที่สุดในประเทศเวลานั้น

 

นั่นหมายความว่า นี่คือการเผชิญหน้ากันของสองทีมที่มีพลังรุกระดับมหาประลัยด้วยกัน 

 

และสิ่งที่เกิดขึ้นใน 90 นาทีที่แอนฟิลด์วันนั้น ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะลืมลง

 

แค่เพียง 97 วินาที คู่หัวหอกเจ้าถิ่นก็แผลงฤทธิ์เมื่อ คอลลีมอร์ เปิดบอลเข้ามาให้ฟาวเลอร์ ขึ้นโขกในระยะเผาขนให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำอย่างรวดเร็ว

 

เสียงเพลงและเสียงเชียร์ในแอนฟิลด์ดังกระหึ่มอยู่ได้พักหนึ่งก็เงียบลง เมื่อนิวคาสเซิลเองก็โชว์ให้เห็นถึงพลังเกมรุกที่ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ‘ติโน’ อัสปริยา เลื้อยแหวกเข้าเขตโทษก่อนจ่ายหักกลับมาให้ เลส เฟอร์ดินานด์ แต่งบอลก่อนตวัดยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาด

 

เกมรับที่อ่อนยวบของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทีมชุดที่โดดเด่นชุดนี้ไปไม่ถึงฝัน ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งเมื่อนิวคาสเซิลได้โอกาสในการสวนกลับ และโชคร้ายสำหรับเจ้าบ้านที่คนที่ได้บอลจ่ายจากอัสปริยาคนเดิมก่อนหลุดไปคือ ดาวิด ชิโนลา ศิลปินลูกหนังชาวฝรั่งเศส พาบอลมาถึงในกรอบเขตโทษ ก่อนซัดด้วยซ้ายเข้าเสาไกลอย่างเหนือชั้น

 

นิวคาสเซิลเป็นฝ่ายนำอยู่ 2-1 ในครึ่งแรกของเกมที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย และความเร้าใจนั้นยังต่อเนื่องถึงครึ่งหลัง เมื่อมีประตูเกิดขึ้นอีกถึง 5 ประตู

 

นาทีที่ 55 สตีฟ แม็คมานามาน ปีกจอมเลื้อยลากพาบอลมาทางขวาดึงสมาธิของแนวรับทีมเยือนได้หลายคน ก่อนจะตบเข้ากลางมาให้คู่ซี้ฟาวเลอร์ ที่ในเวลานั้นอายุยังไม่ครบ 21 ปีดี แต่เป็นทายาทอย่างถูกต้องของ เอียน รัช ไปแล้ว วิ่งมาซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม ซึ่งลูกนี้เป็นประตูที่ยิงยากมากแต่ก็อดทำได้เหมือนง่าย สกอร์กลับมาเท่ากัน 2-2

 

แต่อีกแค่ 2 นาทีต่อมา นิวคาสเซิลก็หนีไปอีกครั้งเป็น 3-2 เมื่อ โรเบิร์ต ลี แทงทะลุช่องให้อัสปริยาหลุดทะลุแนวรับเข้าไป เดวิด เจมส์ ประตูหงส์แดงพยายามที่จะวิ่งออกมาเพื่อดักบอล แต่โดนดาวยิงโคลอมเบีย ซึ่งเล่นได้ดีที่สุดเกมหนึ่งในชีวิตกับนิวคาสเซิล ยิงสวนตัวเข้าไปอย่างเหนือชั้น

 

อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูลในเวลานั้นยังมีสปิริตแบบ Never Say Die ที่สืบทอดมาจากทีมยุคเกรียงไกร พวกเขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในอีก 10 นาทีต่อมา เจสัน แม็คเคเทียร์ อดีตกองกลางโบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่เล่นได้น่าประทับใจในนัดชิงลีกคัพ (สมัยนั้นใช้ชื่อว่าคาร์ลิงคัพ) ก่อนที่จะถูกอีแวนส์ เปลี่ยนบทมาเล่นวิงแบ็กขวาในระบบ 3-5-2 ก็ครอสบอลเรียดติดไซด์โค้งเข้ามาให้คอลลีมอร์โฉบเข้าฮอส ให้สกอร์กลับมาเสมอกัน 3-3

 

บรรยาย: รอย อีแวนส์ (กลางภาพ) สตาฟฟ์และแฟนบอลลิเวอร์พูล ต่างเฮสนั่นหลัง สแตน คอลลีมอร์ ซัดประตูชัย ขณะที่ เควิน คีแกน (เสื้อสีม่วง) นั่งฟุบที่ป้ายโฆษณาข้างสนาม

 

ถึงตรงนั้นไม่มีใครยอมใครแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องการชัยชนะทั้งสองทีม เกมจึงเต็มไปด้วยความระทึกใจชนิดที่แฟนบอลที่หัวใจอ่อนแอไม่ควรจะนั่งดูเด็ดขาด แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดที่ทำประตูเพิ่มได้อีกจนเกมครบ 90 นาทีของเวลาปกติ 

 

ผลเสมอน่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับทั้งสองทีมในเกมที่ดุเดือดเลือดพล่านแบบนี้

 

แต่แล้วในนาทีที่ 2 ของการทดเวลาบาดเจ็บ สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อสองตำนานที่โรยราเต็มทีอย่าง เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส แสดงให้เห็นถึง ‘ชั้นบอล’ ด้วยการเล่นต่อบอลกันไปมาสองคนฝ่าแนวรับทีมเยือนเข้ามาเรื่อยๆ 

 

แม้จังหวะสุดท้าย การประสานงานที่สวยงามจะสะดุด เพราะวิ่งมาทับทางกันเอง แต่มันยังไม่ท้ายที่สุด เมื่อบาร์นสยังสมองและสายตาไวพอที่จะเห็นคอลลีมอร์ยืนว่างอยู่ทางซ้ายของกรอบเขตโทษ

 

ว่าแล้วปีกนิลกาฬก็ถ่ายบอลออกไปให้กองหน้าเจ้าของค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติของวงการฟุตบอลอังกฤษในต้นฤดูกาลนั้น จับแต่งบอลก่อนตะบันด้วยอีซ้ายเต็มเหนี่ยว เข้าไปตุงตาข่ายอย่างสุดสะใจ

 

คีแกนที่นั่งอยู่ข้างสนามถึงกับทรุดต้องพิงป้ายโฆษณา ซึ่งต่อมาภาพนี้กลายเป็นภาพจำของเขามากกว่าความยิ่งใหญ่ในฐานะกัปตันทีมชาติและนักเตะที่เคยเก่งที่สุดในอังกฤษ

 

ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะได้ 4-3 ในเกมนั้น เกมที่อีแวนส์บอกว่า มันคือ Kamikaze Football เกมที่ดีต่อใจสำหรับแฟนบอลทุกคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ทำงานจริงๆ เพราะตลอดทั้งเกมนั้นเต็มไปด้วยความผิดพลาดและเกมรับที่อ่อนยวบ ซึ่งไม่มีทีมใดจะเป็นแชมป์ได้ หากมีเกมรับแบบนี้

 

สิ่งที่อีแวนส์ ทายาทบูตรูมคนสุดท้ายพูดนั้นเป็นความจริง เพราะในอีก 3 วันถัดมา พวกเขาแพ้โคเวนทรี ซิตี้อย่างน่าอับอาย และหมดลุ้นแชมป์ไปในที่สุด

 

ไม่ต่างอะไรจากนิวคาสเซิล ลำพังความกดดันจากการที่เคยนำ 12 แต้ม และต้องมาตามหลังก่อนเกมนี้ก็มากพออยู่แล้ว แต่การแพ้ในนัดนี้ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสร้างมาจนหมดสิ้น 

 

ฤดูกาลนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากทีมที่น่าจับตามองมากที่สุด กลายเป็นทีมที่ล้มเหลวและไม่เคยกลับมาเป็นทีมชั้นนำของประเทศได้อีกเลย

 

แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้จดจำแค่เพียง ‘ผู้ชนะ’​ เสมอไป

 

90 นาทีที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็น ‘อมตะ’ และถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในกล่องความทรงจำของทุกคนตลอดมาและตลอดไป

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising