×

ครบรอบ 20 ปี อัลบั้ม Butterfly ของ Mariah Carey ฟังกี่ทีก็ยอดเยี่ยม!

โดย Homesickalienn
15.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • 16 กันยายน ถือเป็นเวลา 20 ปีเต็มนับตั้งแต่มารายห์ แครี วางจำหน่าย Butterfly สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ซึ่งสำหรับแฟนคลับ นักวิจารณ์ดนตรี หรือแม้แต่ตัวเธอเองนั้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของการเป็นศิลปิน
  • ความเสี่ยงดังกล่าวคือการเปลี่ยนแปลงแนวทางดนตรีจากป๊อปไปสู่รากเหง้าของตัวเธอเอง อันได้แก่ดนตรีอาร์แอนด์บีและฮิปฮอป ซึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดและเป็นทางการที่สุดในอัลบั้ม Butterfly
  • ภาพลักษณ์ใหม่ของมารายห์กับอัลบั้ม Butterfly ได้ถูกวางจำหน่ายพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับความเซ็กซี่ ซึ่งเพิ่มดีกรีขึ้นอย่างที่แฟนๆ กลุ่มอนุรักษนิยมต้องอ้าปากหวอ

 

     ช่วงเวลานี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มารายห์ แครี (Mariah Carey) นักร้องสาวเจ้าของสถิติศิลปินหญิงผู้มีซิงเกิลอันดับ 1 บน US Billboard Hot 100 Chart มากที่สุดในปัจจุบัน เคยถูกตราหน้าจากทีมนักแต่งเพลงว่ากำลังทำลายชื่อเสียงของตนเองด้วยการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีที่เคยทำให้เธอแจ้งเกิดจนโด่งดัง
     ช่วงเวลานี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว บุคคลซึ่งครั้งหนึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นซินเดอเรลล่าแห่งวงการเพลงป๊อปได้เผชิญชีวิตแต่งงานที่ล้มพังจนถึงขั้นหย่าร้างกับสามี ทอมมี่ มอตโตลา ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Sony Music Entertainment ท่ามกลางข่าวลือในแง่ลบมากมายที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเป็นตัวทำลายความนิยมที่เธอสร้างมาจนหมดสิ้น
     ช่วงเวลานี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ศิลปินเจ้าของ 5 รางวัล Grammy Award และ 20 รางวัล World Music Award คนนี้เลือกที่จะเป็นขบถต่อสิ่งปรุงแต่งต่างๆ ที่ทางต้นสังกัดปูทางไว้ให้ แล้วหันมาสร้างผลงานอันสะท้อนถึงตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอมากขึ้น
     และในวันที่ 16 กันยายน ปี 2017 นี้ ถือเป็นเวลา 20 ปีเต็มนับตั้งแต่นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ในนามมารายห์ แครี วางจำหน่าย Butterfly (1997) สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ซึ่งสำหรับแฟนคลับ นักวิจารณ์ดนตรี หรือแม้แต่ตัวเธอเองนั้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตการเป็นศิลปิน รวมทั้งการที่อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุดของมารายห์ ทั้งในแง่ของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องชีวิตส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของภาพลักษณ์ หรือแม้แต่ตัวเพลงที่ถึงแม้จะหยิบมาฟังในวันนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงการเป็นชิ้นงานป๊อป-อาร์แอนด์บี เจือกลิ่นฮิปฮอปชั้นดีที่ไม่รู้สึกล้าสมัยเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

ความสำเร็จของมารายห์ก่อน Butterfly

     เกือบสามทศวรรษที่โลดแล่นอยู่ในวงการเพลงในฐานะ ‘ศิลปินหญิงผู้มียอดขายแผ่นเสียงสูงที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนตัวเลขกว่า 54 ล้านแผ่น จากผลสำรวจโดย Nielsen SoundScan ซึ่งเริ่มจัดทำสถิติในปี 1991 (และมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ตลอดกาลรองจากบาร์บรา สไตรแซนด์ และมาดอนน่า) มารายห์มีจุดเริ่มต้นในโลกดนตรีด้วยภาพลักษณ์เสมือนคุณนายฝ่ายอนุรักษนิยม เสื้อผ้าหน้าผมเรี่ยมเร้มิดชิด พร้อมกับเพลงฮิตสายป๊อปบัลลาดโชว์ลูกเอื้อนพ่วงพลังเสียง 5 ออคเตฟอย่าง Vision of Love และเสียงหวีดกังวานใสขึ้นสเต็ปแบบยากที่จะมีใครเลียนแบบใน Emotions ได้กลายเป็นลายเซ็นประจำตัวเธอ และทำให้มารายห์นั้นมีแฟนคลับทั่วโลกเป็นจำนวนหลายล้านคน ซึ่งเรียกตนเองว่า ‘ลูกแกะ’ หรือ Lambs
     แต่หนึ่งในสิ่งที่แฟนเพลงหลายคนไม่รู้คือความกดดันและความคาดหวังอันสูงลิบจากต้นสังกัดที่ตัวมารายห์เองต้องแบกรับ ซึ่งเปรียบเธอเป็นเสมือนสินค้าพรีเมียมที่พร้อมจะสร้างกำไรอย่างยอดเยี่ยมให้แก่บริษัท ทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจ รวมถึงเมโลดี้ทุกโน้ตนับตั้งแต่ความสำเร็จของซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกจากอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันอย่าง Vision of Love (1990) จึงเป็นเกมทางด้านการตลาดที่ถูกชี้ขาดโดยทีมงานซึ่งอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะสามีของมารายห์ในขณะนั้นอย่างทอมมี่ มอตโตลา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัท Sony Music Entertainment ที่เธอสังกัดอยู่ วิสัยทัศน์ในการทำงานส่วนตัวของเธอไม่ได้ถูกรับฟังเพื่อนำไปพิจารณา ด้วยความที่เกรงว่า ‘ความเป็นตัวของตัวเองเกินไปของมารายห์’ มีแนวโน้มที่จะนำพาความเสี่ยงมาสู่ยอดขายผลงานและกระแสความนิยมโดยรวมของตัวเธอเอง และนั่นหมายถึงผลประโยชน์มหาศาลที่องค์กรจะต้องสูญเสียไป

 

ปกซิงเกิลจากอัลบั้ม Butterfly

 

ตัวตนใหม่กับอัลบั้ม Butterfly

     ความเสี่ยงดังกล่าวคือการเปลี่ยนแปลงแนวทางดนตรีจากป๊อปไปสู่รากเหง้าของตัวเธอเอง อันได้แก่ดนตรีอาร์แอนด์บีและฮิปฮอป ซึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดและเป็นทางการที่สุดในอัลบั้ม Butterfly นี้เอง ด้วยแรงสนับสนุนจากทีมโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงมือฉมังอย่างพัฟฟ์ แดดดี้, มิสซี เอลเลียต และ Trackmasters พร้อมกับศิลปินรับเชิญในแวดวงฮิปฮอปเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏในอัลบั้มก่อนหน้า เช่น Bone Thugs-n-Harmony, Da Brat, Mase และ Mobb Deep ท่ามกลางความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นระหว่างตัวมารายห์กับวอลเตอร์ อฟานาซีฟ โปรดิวเซอร์คู่บุญที่เสกผลงานมหาฮิตให้กับเธอมาแล้วมากมายจากสตูดิโออัลบั้มก่อนๆ เช่น Without You, Hero และ Never Forget You

     สำหรับกลุ่มซูเปอร์แฟนคลับของมารายห์เองนั้น การเปลี่ยนแปลงทิศทางดนตรีในอัลบั้ม Butterfly นี้อาจจะไม่ใช่เรื่องกะทันหันแต่อย่างใด ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 กับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของเธออย่าง Daydream ผู้ฟังย่อมเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดนตรีอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปที่เธอพยายามจะเติมลงไปในชิ้นงานอย่างในซิงเกิล One Sweet Day ที่เธอดูเอตกับวง Boyz II Men และกลายเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ตด้วยจำนวนสัปดาห์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ (16 สัปดาห์) หรือเพลงจังหวะคึกคักอย่าง Long Ago ที่สไตล์การร้องแนวเต็มเสียงแบบเดิมๆ ถูกปรับเสริมด้วยการเอื้อน ไล่ระดับคีย์ ไปจนถึงเสียงกระซิบกระซาบผ่านช่องลมที่พัฒนามาเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมารายห์ในปัจจุบัน

 

 

     ทุกเหรียญย่อมมีสองด้าน ภาพลักษณ์ใหม่ของมารายห์มีกระแสตีกลับทั้งในแง่บวกและลบ อัลบั้ม Butterfly วางจำหน่ายพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับความเซ็กซี่ซึ่งเพิ่มดีกรีขึ้นอย่างที่แฟนๆ กลุ่มอนุรักษนิยมต้องอ้าปากหวอ การนำเสนอมิวสิกวิดีโอที่มีการโชว์เนื้อหนังมังสามากกว่าแต่ก่อนหลายระดับ และการปรับเนื้องานให้มีความ urban ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตัวเธอเองเลือกที่จะกำหนดเพื่อแสดงถึงจุดยืนและวิสัยทัศน์ในการเป็นศิลปินผู้เลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกและรากเหง้าตนเอง โดยเข้ามามีบทบาทกับผลงานให้ได้มากที่สุด อันเป็นสิ่งที่เธอโหยหามาตลอดในระยะเวลากว่า 7 ปีก่อนหน้านี้ ที่ตัวมารายห์เองถูกวางหมากกำหนดให้กลายเป็นนักร้องเพลงป๊อปผู้มาพร้อมพลังเสียงระดับฟ้าประทาน และความอ่อนหวานตามแบบฉบับ America’s Sweetheart

     ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะได้รับการซึมซับอิทธิพลความ urban มาจากบิดาบังเกิดเกล้าซึ่งเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ควบคู่มากับสภาพแวดล้อมเมื่อครั้งเยาว์วัยในนิวยอร์ก ที่ตัวเธอเองเป็นหนึ่งในเด็กผู้หญิงผิวขาวเพียงไม่กี่คนในกลุ่มเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเสมอถึงแนวดนตรีที่เธอมีความใฝ่ฝันอยากจะทำจริงๆ นั่นก็คือฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี

 


มิวสิกวิดีโออัลบั้ม Butterfly

     หลายฝ่ายเริ่มตั้งแง่ว่ามารายห์ตัดสินใจขายเรือนร่างและโชว์ส่วนโค้งเว้าเพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมให้ตนเอง โดยเฉพาะกับการเปิดตัวซิงเกิลแรกจาก Butterfly ด้วยเพลง Honey ที่มาพร้อมมิวสิกวิดีโอมูลค่ากว่าล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้ไปถ่ายทำถึงประเทศเปอร์โตริโก และกำกับโดยผู้กำกับมิวสิกวิดีโอชื่อดังอย่างพอล ฮันเตอร์ ภายใต้คอนเซปต์ ‘James Bond’ โดยมารายห์รับบทเป็นนักสืบสาวสุดเซ็กซี่ อวดเรือนร่างในชุดบิกินี่ในระหว่างที่หนีจากการไล่ล่าของกลุ่มมาเฟีย โดยตัวเธอเองได้ตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์เรื่องภาพลักษณ์ว่า “ฉันไม่ได้รู้สึกว่าวิดีโอเพลงนี้เซ็กซี่เกินไปนะ แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่ติดภาพฉันในเวอร์ชันแมรี่ ป๊อปปินส์ แห่งยุค 90s เสียมากกว่า!”

 


     แต่หนึ่งในสิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ก็คือประเด็นที่ว่า ช่วงอัลบั้ม Butterfly นี้ถือเป็นช่วงที่มารายห์สวยสะพรั่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลายฝ่ายได้ตั้งข้อสังเกตว่าการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่นี้เปรียบเสมือนการประกาศตนเป็นอิสรภาพจากอดีตสามีและความสุขจากการที่เธอมีบทบาทในการควบคุมทุกรายละเอียดของผลงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เธอเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์เชิงเหยียดจากกลุ่มอนุรักษนิยมที่นิยามการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่น้อยชิ้นลงทุกวันของเธอว่าเป็น ‘ฟางเส้นสุดท้ายเพื่อการขายอัลบั้มให้ได้ตามเป้า’ ถึงแม้ว่าเธอได้อธิบายเหตุผลทุกอย่างผ่านบทสัมภาษณ์กับ VH1 ในปี 1997 ว่า “ในการทำงานอัลบั้มนี้ทั้งตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอ ฉันพยายามจับความจริงเกี่ยวกับตัวฉันยัดลงไปให้ได้มากที่สุด รวมถึงถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ที่อยากให้ทุกคนได้รับรู้เกี่ยวกับตัวฉันออกมาผ่านชิ้นงาน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนหันมาชื่นชมไอเดียทั้งหมด และแน่นอนว่าเราต้องยอมรับ” นอกจากนั้นเธอยังได้ระบุด้วยว่า “ก่อนหน้าอัลบั้ม Butterfly ไม่มีอัลบั้มไหนเลยที่ฉันรู้สึกชื่นชอบเป็นการส่วนตัว”

 


     กลุ่มมิวสิกวิดีโอจากซิงเกิลทั้งหมดในอัลบั้ม Butterfly อาจจะไม่สามารถเทียบได้กับผลงานที่ใช้เม็ดเงินลงทุนพร้อมความหวือหวาอลังการแบบมิวสิกวิดีโอของเทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือเคที เพอร์รี ซึ่งเป็นราชินีแห่ง ‘พร็อพ’ ในยุคปัจจุบัน (ยกเว้น Honey ที่ทางค่ายยอมทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเพื่อเบิกทางให้กับซิงเกิลแรกของอัลบั้ม) แต่สำหรับตัวมารายห์เองนั้น นี่คือก้าวแรกของการประกาศความเป็นตัวตนที่เธอเก็บงำมาตลอด ‘อย่างเต็มภาคภูมิ’ รอยยิ้มในทุกๆ ฉากมาจากความสบายใจ ไอเดียในเกือบทุกมิวสิกวิดีโอส่วนหนึ่งมาจากตัวเธอเอง ความยำเกรงของเธอที่มีต่อต้นสังกัดได้ค่อยๆ ละลายหายไปกลายเป็นความสดใหม่ทั้งทางภาพ เสียง และสีสันของศิลปิน ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 2 ในรายชื่อ ‘100 ศิลปินหญิงยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล’ ของช่อง VH1 ในปี 2012

 

ทำไมอัลบั้ม Butterfly กลายเป็นตำนาน

     เป็นเวลากว่า 20 ปีที่นักวิจารณ์หลายสำนักต่างยกให้ Butterfly กลายเป็นหนึ่งในผลงานอาร์แอนด์บีที่ดีที่สุดแห่งยุค 90s ทั้งในด้านความสมบูรณ์ของการผสมผสานความเป็นป๊อปเข้ากับดนตรีฮิปฮอปได้อย่างนวลนิ่ม ในขณะที่แฟนเพลงรุ่นเก่ายังคงรู้สึกเต็มอิ่มได้กับเพลงบัลลาดสวยๆ อย่าง Close My Eyes, Whenever You Call และ Butterfly ไตเติลแทร็กชื่อเดียวกับอัลบั้มที่ถูกตัดออกมาโปรโมตเป็นซิงเกิลที่สอง ซึ่งถือว่าเป็นผลงานสุดท้ายก่อนที่มารายห์จะมีปากเสียงกับวอลเตอร์ อฟานาซีฟ เกี่ยวกับภาพรวมของดนตรีที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้เธอและเขาไม่ได้ร่วมงานกันอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

     อัลบั้ม Butterfly ถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการผสมผสานร่วมงานระหว่างศิลปินป๊อปและฮิปฮอป ซิงเกิลแรกอย่าง Honey ที่ได้พัฟฟ์ แดดดี้ มาร่วมร้องท่อนแรปนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับโปรดิวเซอร์มากมายที่เริ่มเสริมท่อนแรปจากนักร้องรับเชิญผ่านการฟีเจอริงในซิงเกิลเพลงป๊อป อีกทั้งเพลงป๊อป-ฮิปฮอปจังหวะกลางอย่าง The Roof นั้น ได้ถูกลงความเห็นโดยนักวิจารณ์จากนิตยสาร Billboard ว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกมองข้ามและสมควรจะดังเป็นพลุแตกที่สุดของมารายห์ แครี ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนในปัจจุบันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาคดนตรีของเพลงนี้ฟังแล้วมันไม่ได้มีความรู้สึกล้าสมัยแต่อย่างใดเลย

     จากวันนั้นถึงวันนี้ มารายห์ แครี คือสตรีที่นักวิจารณ์สามารถพูดได้เต็มปากว่า ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานอะไรอีกต่อไปแล้วในฐานะศิลปินคนหนึ่ง กราฟชีวิตบนเส้นทางสายดนตรีของเธอเคยพุ่งไปถึงจุดสูงสุดเท่าที่มนุษย์ในวงการบันเทิงคนหนึ่งจะไต่ไปได้ และเคยจมดิ่งลงสู่จุดตกต่ำอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดเช่นกัน (แน่นอนว่าหมายถึงช่วงต้นปี 2000s ก่อนที่จะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในซิงเกิล We Belong Together ในปี 2005)
     อัลบั้ม Butterfly ในปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการปลดแอกจากพันธนาการดุจผีเสื้อที่โบยบินออกจากเปลือกดักแด้ บ่มเพาะสีสันจากชีวิตและประสบการณ์ สะท้อนเสียงดนตรีออกมาจากความคิดความอ่าน กลายเป็นมารายห์ แครี ผู้พร้อมทั้งกายและใจที่จะเลือกเดินเส้นทางตามความรู้สึกและตัวตนที่แท้ในท้ายที่สุด และยังคงเป็นเช่นนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้


อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising