อินเดีย ประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1.4 พันล้านคน เตรียมเปิดฉากการเลือกตั้งทั่วไปในวันพรุ่งนี้ (19 เมษายน) โดยถูกจับตามองว่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่สุดของชาวอินเดียในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งจะส่งผลกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศหลังจากนี้
ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเกือบ 1 พันล้านคนจะได้ใช้สิทธิตัดสินใจว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี วัย 73 ปี จะได้ครองตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 และทำให้พรรคภารติยะ ชนะตะ หรือพรรคบีเจพี (Bharatiya Janata Party: BJP) ของเขาได้ขยายวาระครองอำนาจรัฐบาลต่อหรือไม่ หลังจากที่กุมบังเหียนมานานถึง 10 ปี
โดยหากชนะ จะทำให้โมดีกลายเป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีอินเดียที่มีความสำคัญที่สุดและครองตำแหน่งยาวนานที่สุด
และนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของอินเดียที่เราควรรู้
ระบบเลือกตั้งอินเดียเป็นอย่างไร?
ทุกๆ 5 ปี อินเดียจะจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือในชื่อท้องถิ่นว่าการเลือกตั้ง ‘โลกสภา’ (Lok Sabha) คือสภาผู้แทนราษฎรของอินเดีย
การเลือกตั้งครั้งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยมีผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมดถึง 969 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งในปี 2019 ราว 150 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และรัสเซียรวมกัน
ประชาชนอินเดียจะได้ลงคะแนนเลือก สส. ทั้งหมด 543 ที่นั่ง ใน 543 เขต จาก 28 รัฐและ 8 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ทั่วอินเดีย
โดยพรรคที่ชนะเสียงข้างมากจะได้จัดตั้งรัฐบาลและแต่งตั้งหนึ่งในผู้สมัครให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เลือกตั้ง 6 สัปดาห์
เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์อันกว้างใหญ่ของอินเดีย การลงคะแนนจึงไม่สามารถแล้วเสร็จได้ภายในวันเดียว แต่จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะในรัฐต่างๆ ซึ่งกินเวลารวมถึง 44 วัน (19 เมษายน – 1 มิถุนายน) และจะทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 4 มิถุนายน
หน่วยเลือกตั้งทั้งหมดมีจำนวนกว่า 1 ล้านหน่วย และมีการใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียมีการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ 15 ล้านคนในการดูแลการเลือกตั้งครั้งนี้
ทั้งนี้ แม้ว่าระยะเวลาเลือกตั้งจะค่อนข้างยาวนาน แต่อินเดียก็มีความภาคภูมิใจในการจัดการเลือกตั้งที่ทำให้แน่ใจว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลแม้ในยอดภูเขาสูงสามารถลงคะแนนได้ โดยจุดที่เข้าถึงยากนั้นมีการจัดส่งเครื่องลงคะแนนเข้าไปด้วยม้าและช้าง และบางหน่วยเลือกตั้งก็ต้องส่งไปทางเรือเท่านั้น ซึ่งหน่วยเลือกตั้งที่สูงที่สุดในโลกอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,650 เมตร
โดยการเลือกตั้งของอินเดียครั้งนี้ยังถือเป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที่แพงที่สุดของโลก ซึ่งใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งสูงถึง 1.2 ล้านล้านรูปี หรือกว่า 5.2 แสนล้านบาท
นอกเหนือจากการลงคะแนนเลือก สส. ในบางรัฐ เช่น รัฐอานธรประเทศ, อรุณาจัลประเทศ, โอริสสา และสิกขิม ก็จะมีการจัดการรเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐไปพร้อมกันด้วย
ขณะที่มาตรการควบกุมความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกตั้งของอินเดียในทุกๆ ครั้ง โดยทางการจะระดมกำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหลายหมื่นนาย ร่วมกับตำรวจในแต่ละรัฐเพื่อดูแลความเรียบร้อย ป้องกันเหตุรุนแรงและช่วยในการขนส่งเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งและเครื่องลงคะแนน
ใครแข่งกับใคร
อินเดียภายใต้การนำของโมดีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (2014-2024) กลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จนถูกจับตามองว่าอาจเขยิบเข้าใกล้สถานะประเทศมหาอำนาจในช่วงเวลาไม่นาน
ความสำเร็จในการบริหารประเทศ ทั้งการพัฒนาสวัสดิการและการปฏิรูปสังคมที่เห็นผลชัดเจนต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งผลให้โพลสำรวจความนิยมล่าสุดยังเป็นโมดีและพรรคบีเจพีที่ถูกคาดหมายว่าจะคว้าชัยชนะและอยู่ในอำนาจต่อไปอีก 5 ปี
พรรคบีเจพีและพรรคพันธมิตรตั้งเป้าจะคว้าที่นั่ง สส. ให้ได้มากกว่า 400 ที่นั่ง ซึ่งจะทำให้มีคะแนนเสียงในสภามากพอที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถือเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับในปี 2019 ที่พรรคบีเจพีได้ สส. ไปจำนวน 303 ที่นั่ง
แต่ถึงกระนั้น พรรคบีเจพีก็ยังมีความท้าทายจากคู่แข่งหลักอย่างพรรคอินเดียนเนชันแนลคองเกรส (Indian National Congress) หรือเรียกย่อๆ ว่าพรรคคองเกรส ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก ที่ในอดีตเคยบริหารประเทศมานานถึง 77 ปี และปัจจุบันอยู่ภายใต้การนำของ ราหุล คานธี บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรีราจีฟ คานธี
โดยทางพรรคคองเกรสยังมีการจับมือกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ และพรรคสำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั้งหมดกว่า 20 พรรค รวมกันเป็นพันธมิตรทางการเมืองภายใต้ชื่อ Indian National Developmental Inclusive Alliance (INDIA) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ประชาธิปไตยและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งฝ่ายค้านมองว่าสูญเสียไปมากในยุคการปกครองของบีเจพี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองคือนโยบายของโมดีที่มุ่งเน้นสนับสนุนแนวคิดชาตินิยมฮินดูมากขึ้น โดยที่ผ่านมาอินเดียถือเป็นประเทศที่ยึดถือแนวคิดรัฐโลกวิสัย (Secular State) หรือรัฐที่เป็นกลางทางศาสนา
ขณะที่ศาสนาฮินดูถือเป็นศาสนาที่มีประชากรอินเดียนับถือมากที่สุดกว่า 79% โดยการเปลี่ยนจากแนวคิดรัฐโลกวิสัยไปเป็นประเทศที่นับถือศาสนาฮินดูเป็นหลักอาจจะเป็นความท้าทายสำคัญของโมดี หากชนะการเลือกตั้งและได้ครองตำแหน่งต่ออีกสมัย
อ้างอิง:
- https://apnews.com/article/india-election-2024-explainer-41d7aa3131dc0c7e0df1ea4be6b6a4c7
- https://www.nytimes.com/2024/03/16/world/asia/india-2024-election.html
- https://www.theguardian.com/world/2024/apr/18/india-mammoth-election-explained-narendra-modi-bjp
- https://www.reuters.com/world/india/indias-lok-sabha-election-2024-what-you-need-know-2024-04-15/
- https://edition.cnn.com/2024/04/17/india/india-election-2024-hnk-intl-dg/index.html
- https://edition.cnn.com/2024/04/12/india/india-general-election-explainer-intl-hnk/index.html