บอร์ดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก รวมวงเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท (จาก 1.57 แสนล้านบาท) คาดกระตุ้น GDP ได้ 0.4% จ้างงานเพิ่ม 6-7 ล้านคน งบส่วนใหญ่ไปลงทุนด้านน้ำ-คมนาคม 70% ท่องเที่ยว 10% ด้าน SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่าโครงการอาจมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่จากการเร่งเสนอ คัดเลือก และดำเนินการ
วันนี้ (18 มิถุนายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยหลัง การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568 มีแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก รวมวงเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ที่จะใช้จากงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท และจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าพิจารณาอนุมัติต่อไป
พิชัย เปิดเผยอีกว่า หลังจากหน่วยงานต่างๆ ได้ส่งยอดคำขอมาสูงถึง 3 แสนกว่าล้านบาท อย่างไรก็ตาม ประธานอนุกรรมการฯ ได้วางหลักเกณฑ์ไว้แล้วอยู่ 8 ข้อ โดยโครงการที่รัฐบาลได้รับมาอย่างรวดเร็วนี้ เพราะไม่ใช่เป็นโครงการที่เพิ่งคิดขึ้น แต่เป็นโครงการที่คิดมานานแล้ว กล่าวคือ แต่ละหน่วยงานก็อยากจะทำโครงการพวกนี้ แต่ยังไม่ได้เวลาหรือจังหวะที่ควรจะทำ เราจึงได้โครงการเหล่านี้มาอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น หลังจากการผ่านการกลั่นกรองโดยคณะอนุกรรมการฯ จึงเหลือโครงการที่เข้าตามหลักเกณฑ์อยู่เพียง 1.1 แสนล้านบาท เนื่องจากบอร์ดฯ ต้องการใช้เงินงบประมาณให้เกิด ‘ความคุ้มค่า’ อย่างแท้จริง
โดยงบประมาณส่วนใหญ่ไปลงกับโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำและคมนาคม 70% และท่องเที่ยว 10% ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้กับเรื่องอื่นๆ เช่น การศึกษา และมาตรการทางการเงินเพื่อเยียวยาวิกฤตทรัมป์
พิชัยกล่าวอีกว่า หน้าตาโครงการที่ออกมา มีลักษณะเกิดการกระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ และครอบคลุมไปเกือบทุกจังหวัดและอำเภอ นอกจากนี้ ยังพบว่า จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ก็จะได้แบ่งเงินไปในอัตราที่สูงกว่าจังหวัดที่มีรายได้สูงอย่าง กรุงเทพฯ และระยอง ซึ่งได้สัดส่วนงบไปน้อยมาก
พิชัยกล่าวอีกว่า ส่วนเงินงบประมาณที่เหลืออีก 4 หมื่นกว่าล้าน (จากงบ 1.57 แสนล้านบาท) จะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง จากคำขอที่เหลืออีก 6 หมื่นล้านบาท โดยส่วนที่เหลือนี้เป็นโครงการที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เสนอขึ้นมา เป็นโครงการที่ตรวจเบื้องต้นแล้ว ไม่ได้ผ่านรัฐมนตรีต้นสังกัด โดยบางโครงการก็อาจไปซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นที่เคยทำอยู่แล้ว จึงจะมีการขอเอาขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่งว่ามีอะไรบ้างที่ตกหล่น และสมควรให้มีการลงทุน
อย่างไรก็ตาม หากมีการพิจารณาอีกรอบแล้ว แล้วมีการอนุมัติไม่หมด และหากว่า งบประมาณเหลือจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เนื่องจาก ในกรณีที่ไม่ได้ใช้ ก็แปลว่า จะทำให้รัฐบาลจะกู้หนี้ได้น้อยลง
พิชัยกล่าวว่า งบประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ส่วนนี้คาดว่า จะกระตุ้น GDP ได้ 0.4% และเพิ่มการจ้างงาน 6-7 ล้านคน แต่หากมีการใช้งบประมาณทั้งก้อนที่ 1.57 แสนล้านบาท ก็คาดว่าจะช่วยดัน GDP ให้เพิ่มขึ้นได้อีก 0.5-0.6% พร้อมทั้งมั่นใจว่า โครงการนี้จะช่วยเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้
พิชัยกล่าวอีกว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำไว้ว่า โครงการนี้ต้องให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้อย่างเคร่งขัด โดยอยากให้เจ้ากระทรวงต้นสังกัด ซึ่งมีหน่วยงานที่ขอรับงบประมาณอยู่ ต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยหากว่า พบการใช้งบประมาณไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ สามารถระงับได้เลย นอกจากนี้ยังอยากให้มีการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อต้องการให้โครงการนี้บรรลุผลจริงๆ
พิชัยกล่าวว่า โครงการทั้งหมดนี้ต้องผูกพันให้ได้ภายในกันยายน 2568 หรือก่อนสิ้นงบประมาณปี 2568 และต้องใช้ให้เสร็จไม่เกิน 1 ปี สำหรับรายละเอียดเต็มๆ จะเปิดเผยในวันอังคารหน้า 24 มิถุนายน
SCB EIC ห่วงโครงการการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่
ในงานแถลงข่าว ‘มุมมองเศรษฐกิจไทย ประจำไตรมาส 2 ปี 2568’ ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน และ SCB EIC กล่าวว่า การที่รัฐบาลชะลอดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ปรับเป็นแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทนี้ คุ้มค่ากว่าการแจกเงินโดยตรง และช่วยลดความเสี่ยงเครดิตเรตติ้งลงบ้าง แม้จะเห็นผลต่อเศรษฐกิจช้ากว่า พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าโครงการอาจมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่จากการเร่งเสนอ คัดเลือก และดำเนินการ
SCB EIC ยังรวบรวมผลศึกษาตัวทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของไทย พบว่า จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อปี 2015 การก่อสร้างภาครัฐจะสร้างตัวทวีทางการคลัง 1.13 เท่า ส่วนมาตรการเงินโอน จะสร้างตัวทวีทางการคลัง 0.5 เท่า ส่วนการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อปี 2023 พบว่า การก่อสร้างภาครัฐจะสร้างตัวทวีทางการคลัง 0.8 เท่า