“วันนี้คือวันที่ดีที่สุดในชีวิตของผมในการทำงาน” ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ผู้พา ‘ราชันชุดขาว’ พิชิตถ้วยแชมป์ลีกฟุตบอลสเปนได้อีกครั้ง กล่าวหลังได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต
เรอัล มาดริด กลับมาครองแชมป์ลาลีกาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งกุนซือคนก่อนหน้านี้ที่นำพวกเขาครองความเป็นหนึ่งในแดนกระทิงดุได้ก็คือตัวของซีดานนั่นเอง หลังจากที่เฉือนเอาชนะบียาร์เรอัลได้ 2-1 ในนัดที่ 37 ของฤดูกาล ขณะที่ บาร์เซโลนา คู่ปรับตลอดกาลพลาดท่าพ่ายต่อ โอซาซูนา คาคัมป์นู ทำให้คะแนนทิ้งขาด
อย่างไรก็ดี ก่อนจะมาถึงจุดนี้ได้ อดีตนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกต้องก้าวผ่านอุปสรรคมากมาย มากชนิดที่หลายคนแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะนำทีมกลับมาสู่จุดนี้ได้สำเร็จ เพราะสภาพของเรอัล มาดริดในวันที่ซีดานกลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งเมื่อ 14 เดือนที่แล้วเป็นสโมสรที่ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
อัจฉริยะลูกหนังผู้นี้ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อด้วยการชุบชีวิตทีมเป็นครั้งที่ 2 ได้อย่างไร?
ซีเนดีน ซีดาน กลับมารับงานคุมทีมเรอัล มาดริด ครั้งที่ 2 ที่ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วย
การกลับมาที่ไม่ควรกลับมา
ย้อนหลังกลับไปในช่วงฤดูร้อนของปี 2018 ซีดานสร้างความตะลึงให้แก่ทุกคนด้วยการประกาศว่าเขาขอลาจากตำแหน่งโค้ชทีมเรอัล มาดริด หลังจากที่เพิ่งจะนำทีมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพิชิตแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครองได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งในยุคสมัยใหม่ไม่เคยมีสโมสรไหนที่ทำได้แบบนี้มาก่อน
ความอิ่มตัวนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ขณะที่อีกเรื่องหนึ่งคือการที่ซีดานอาจสัมผัสได้ว่าเรอัล มาดริดชุดนั้นเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ผู้เล่นหลายรายกำลังจะเดินทางสู่ขาลงของชีวิตการเล่น
และที่สำคัญคราวนี้เขาไม่มี คริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังอันดับหนึ่งของทีมที่ขอไปหาความท้าทายใหม่กับยูเวนตุส สโมสรเก่าของซีดานก่อนจะย้ายมามาดริด
“ผมคิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสม นักเตะในทีมน่าจะต้องการการเปลี่ยนแปลง” ซีดานกล่าวในการอำลา “ผมไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราจะชนะไปเรื่อยๆ แบบนี้ไหม ซึ่งถ้าผมยังสงสัยขึ้นมาก็แปลว่ามันควรจะถึงเวลาที่ผมจะไปแล้ว”
การเสียทั้งโรนัลโดและซีดานไปในปีเดียวกัน ทำให้ภายในทีม ‘โลส บลังโกส’ เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งอย่างแรกที่ ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรจำเป็นต้องทำคือการหานายใหญ่คนใหม่ที่ดีพอที่จะทดแทนซีดานได้
แต่การตัดสินใจของเปเรซ กลับนำไปสู่หายนะ ไม่ใช่เฉพาะกับเรอัล มาดริดที่เลือกคนผิด แต่ยังส่งผลกระทบต่อทีมชาติสเปนอย่างมหาศาลด้วย เมื่อพวกเขาประกาศการแต่งตั้ง ฆูเลน โลเปเตกี ซึ่งเป็นโค้ชทีมชาติในขณะนั้นเป็นนายใหญ่คนใหม่ก่อนหน้าที่ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียจะเริ่มต้นขึ้นไม่กี่วัน
การประกาศครั้งนั้นทำให้ทีมชาติสเปนเสียหายอย่างรุนแรง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการปลดโลเปเตกีพ้นจากตำแหน่ง และให้ เฟร์นานโด เอียร์โร เข้ามาทำทีมแทน ซึ่งแม้จะหยุดวิกฤตได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลในฟุตบอลโลก
ด้าน โลเปเตกี ชื่อเสียงของกุนซือคนหนุ่มที่กำลังมาแรงในวงการเสียหายย่อยยับ และมันส่งผลต่อการทำงานของเขากับเรอัล มาดริดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเกมแรกของโลเปเตกีในฐานะโค้ชเรอัล มาดริด คือเกมยูโรเปียนซูเปอร์คัพ และพวกเขาพ่ายต่อ แอตเลติโก มาดริด ทันที ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย และวันเวลาของเขาในถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิวก็จบลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ 2 เดือนหลังเปิดฤดูกาลเท่านั้น เพราะเขาทำให้ทีมหมดลุ้นแชมป์ลาลีกาอย่างรวดเร็ว
ความกดดันกลับมาอยู่กับประธานสโมสรอย่างเปเรซอีกครั้ง และคราวนี้เขาเลือกวิธีการเดิมในแบบเดียวกับที่เคยทำสำเร็จ นั่นคือการให้ ซานติอาโก โซลารี อดีตปีกดาวเด่นชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งเป็นโค้ชทีมบี ดันขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ ในแบบเดียวกับที่ซีดานเคยได้รับโอกาสในการทำงานแทนที่ของ ราฟาเอล เบนิเตซ
แต่ด้วยสภาพทีมมาดริดในเวลานั้น และด้วยฝีมือกับบารมีของโซลารีที่ไม่สามารถเทียบกับซีดานได้ ทำให้ผลงานของราชันชุดขาวกระท่อนกระแท่น บ่อยครั้งที่กลายสภาพเป็นราชันชุดขาดบ้าง
สุดท้ายเมื่อพวกเขาพ่ายต่อบาร์เซโลนา 2 นัดซ้อนในศึกโกปา เดล เรย์ ก่อนจะหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ยุโรป เมื่อโดน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ต้อนแบบหมดสภาพ 4-1 ทำให้เปเรซตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต้องรีบกอบกู้สโมสรขึ้นมาก่อนที่จะตกต่ำลงไปเกินจะช่วยไหว
คนแรกและคนเดียวที่เขาคิดถึงคือซีดาน ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเป็นจริง
ส่วนหนึ่งเพราะ ‘ซิซู’ เพิ่งจะอำลาทีมไปไม่ครบฤดูกาลดี และมีข่าวเชื่อมโยงเขากับหลายสโมสร ซึ่งรวมถึงทีมดังอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย
สภาพทีมในขณะนั้นแตกต่างจากวันที่เขาจากมาอย่างมาก นักวิเคราะห์ถึงกับบอกว่า “หากซีดานจะหาทางนำทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้ เขาก็คือจอมปาฏิหาริย์ตัวจริง”
บ้างว่าการกลับมารับงานครั้งนี้อาจทำให้ชื่อเสียงที่เคยสร้างตำนานมาต้องมัวหมอง
แต่ซีดานไม่สนใจเสียงเหล่านั้น เพราะเขาเชื่อในเสียงของหัวใจตัวเองว่าเขาจะต้องกลับมา
การกอบกู้ครั้งใหม่ หัวใจอยู่ที่ ‘เกมรับ’
ซีดานรู้ดีว่าความท้าทายครั้งนี้ยากเข้าขั้นมหาหิน
นอกจากจะต้องพยายามประกอบร่างทีมขึ้นมาใหม่ในสภาพที่ไม่มีโรนัลโดเป็นศูนย์กลาง ขณะที่แกนหลักในทีมอย่าง คาริม เบนเซมา, ลูกา โมดริช, โทนี โครส, มาร์เซโล, เซร์คิโอ รามอส และคนที่ไม่ถูกกันอย่าง แกเร็ธ เบล ไม่มีใครที่มีอนาคตที่มั่นคงในทีมสักคน
รามอสเองก็มีข่าวว่าแตกคอกับประธานสโมสรอย่างเปเรซมาก่อนหน้านี้
และคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของซีดานก็คือเงาแห่งความสำเร็จของตัวเขาเองที่เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ดีเท่ากับคราวที่แล้ว
แต่เมื่อตกปากรับคำที่จะทำงานแล้ว กุนซือชาวฝรั่งเศสก็ค่อยๆ หาทางแก้ไขไป ซึ่งแม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ในฤดูกาลที่แล้ว เพราะกลับมารับตำแหน่งในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล และจบด้วยการโดนบาร์เซโลนาทิ้งห่างถึง 19 คะแนน ทว่าทุกอย่างกลับค่อยๆ เปลี่ยนไปในฤดูกาลที่ 2 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเรอัล มาดริดและตัวเขาเองด้วย
จริงอยู่ที่พวกเขาได้ซูเปอร์สตาร์คนใหม่ที่เป็นคนโปรดของซีดาน (และเขาก็เห็นซีดานเป็นไอดอลเช่นกัน) อย่าง เอเดน อาซาร์ จากเชลซี แต่ดาวเตะชาวเบลเยียมประสบปัญหาอย่างมากในฤดูกาลแรกในการมาเล่นที่สเปน และยังห่างไกลจากสิ่งที่ทุกคนคาดหวังมาก
ขณะที่ ลูกา โยวิช กองหน้าที่ดึงตัวมาจากไอน์ทรัก แฟรงก์เฟิร์ต ยิ่งหนักกว่าอาซาร์อีก ไม่นับ เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังน้องใหม่ที่แทบไม่ค่อยได้ลงสนาม รวมถึงนักเตะอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ ที่ไม่มีที่ไปและต้องย้ายกลับมาอยู่ในเบร์นาเบวอีกครั้ง
โรดริโก เจ้าหนูดาวรุ่งชาวบราซิลจากซานโตส อาจเป็นเพียงคนเดียวที่พอมีอนาคต แต่ก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุ 19 ปีเท่านั้น
แต่การเสริมทีมที่ไม่เหมือนเป็นการเสริมทัพนี่เองที่ทำให้เราได้เห็นความสามารถในการบริหารจัดการทีมของซีดานอย่างชัดเจน
เรอัล มาดริด อาจจะเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีนัก ซึ่งตรงข้ามกับบาร์เซโลนาที่ถึงจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนในอดีต แต่ก็ดีพอที่จะยืนระยะบนตำแหน่งจ่าฝูงได้ ขณะที่คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แอตเลติโก มาดริด ก็ดูเหมือน ดีเอโก ซิเมโอเน จะมีปัญหาในการสร้างทีมชุดใหม่ที่ยังไม่ดีเท่าชุดเดิม
แต่ราชันชุดขาวค่อยๆ กระชับพื้นที่ ลดระยะห่างกับคู่แข่งอย่างบาร์ซาลง โดยที่ซีดานโชว์ฝีมือทั้งในส่วนของการบริหารจัดการผู้เล่น การปลุกนักเตะที่โรยราให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รวมถึงเรื่องของแท็กติกการเล่น
จุดอ่อนสำคัญที่สุดของมาดริดคือเรื่องของเกมรับ และซีดานตัดสินใจแก้ไขจุดนี้เป็นอย่างแรก ซึ่งหลังการทดลองวิทยาศาสตร์มานาน เขาก็ค้นพบไลน์แบ็กโฟร์ที่ลงตัว
รามอส คนที่เคยเกือบจะโดนขายทิ้งจากทีม กลับมาเป็นผู้นำตัวจริงอีกครั้ง และแม้จะอยู่ในวัย 34 ปี แต่กัปตันทีมรายนี้เหมือนกลับมาเกิดใหม่ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมร้อนแรงยิ่งกว่าเก่า เรียกได้ว่าปีนี้แทบจะเป็นปีที่เขาเล่นได้ดีที่สุดในชีวิตแล้วก็ว่าได้
โดยคู่หูยังคงเป็น ราฟาเอล วาราน ปราการหลังเชิงสูงชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในวัย 27 ปี และเข้าคู่กับกัปตันทีมได้เป็นอย่างดี และเป็นปีที่เขาน่าจะเล่นได้ดีที่สุดเช่นกัน
ขณะที่แบ็กสองข้างก็ลงตัว โดย ดานี คาร์บาฆาล เป็นตัวหลักทางฝั่งขวา ขณะที่ แฟร์กล็องด์ เมนดี แบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศสที่ดึงตัวมาจากลียง ก็กลายเป็นตัวหลักในทีมที่ไว้วางใจได้มากกว่ามาร์เซโล ที่แม้จะเด่นเกมรุกแต่ก็พร้อมเป็นบ่อน้ำมันในเกมรับเสมอ
นอกจากนี้ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ที่เป็นประตูน้ำเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็กลับมาเป็นยอดนายทวารอีกครั้ง โดยมี คาเซมิโร สุดยอดมิดฟิลด์กันชนชาวบราซิลที่ยังเป็นหัวใจในระบบการเล่นของซีดาน เป็นตัวเก็บกวาดหน้าแนวรับให้ทีมได้เหมือนเดิม
โดยที่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่างคือหลังเกมที่แพ้เรอัล มายอร์กา 0-1 ทางด้านซีดานมีการปรับผู้เล่นให้ เฟเดริโก บัลเบร์เด มิดฟิลด์ชาวอุรุกวัยได้ลงสนาม ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ
ดังนั้นด้วยแบ็กโฟร์และมิดฟิลด์ตัวรับชุดใหม่ของซีดาน และแท็กติกการเล่นที่พยายามกระชับพื้นที่ ลดช่องว่างทำให้คู่แข่งเจาะเข้ามาทำประตูได้ยาก ทำให้เรอัล มาดริดกลายเป็นทีมที่มีผลงานเกมรับดีที่สุดในลีก Top 5 ของยูโรปในฤดูกาลนี้ โดยค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อเกมนั้นอยู่เพียงแค่ 0.6 ประตูต่อเกม หรือกว่าจะมีใครยิงพวกเขาได้ 1 ประตู ก็ต้องรอถึงเกือบ 2 เกม
สถิตินี้ดียิ่งกว่าทีมที่ถูกมองว่าเป็น ‘เต้ย’ ในเกมรับอย่าง แอตเลติโก มาดริด หรือ ลิเวอร์พูล ที่มีกองหลังที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกคนปัจจุบันอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เสียอีก
และเกมรับนี่เองที่กลายเป็นหัวใจในการคว้าแชมป์ลาลีกาในฤดูกาลนี้
ไม่มีพระเอก? ถ้าอย่างนั้นก็ให้พระรองช่วยกัน!
ปัญหาอีกจุดของเรอัล มาดริด คือการที่พวกเขาไม่สามารถหาใครขึ้นมาทดแทนการจากไปของโรนัลโดได้
ด้วยจำนวนประตูของสตาร์ชาวโปรตุเกสที่ผลิตได้ต่อปีนั้นมันมากเกินกว่าที่จะหาใครที่ทำผลงานได้ในระดับเดียวกัน (อาจจะมีแค่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คนเดียวในเวลานี้) ทำให้ ‘ภาระ’ นี้หนักหนาอย่างมาก แม้แต่พี่ใหญ่อย่าง คาริม เบนเซมา เองก็แบกรับคนเดียวไว้ไม่ไหว
ไม่ต้องพูดถึงโยวิชที่เป็นการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวในฤดูกาลนี้ ขณะที่อาซาร์นอกจากมีปัญหาฟอร์มตก ปรับตัวไม่ได้ ยังบาดเจ็บยาวอีก (ก่อนจะกลับมาได้เพราะมีโควิด-19 มาคั่นกลาง)
อย่างไรก็ดี แทนที่ซีดานจะโยนภาระดังกล่าวให้กับใครคนใดคนหนึ่ง เขาก็เลือกที่จะกระจายน้ำหนักของปัญหาให้แก่ผู้เล่นทุกคนในทีมแทน
ตลอดฤดูกาล 2019-20 ที่ผ่านมา เรอัล มาดริดมีผู้เล่นที่ช่วยกันทำประตูได้มากถึง 21 คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลาลีกา ที่จะมีทีมที่กระจายคนยิงได้มากขนาดนี้
เบนเซมาในฐานะศูนย์หน้าคือคนที่ทำประตูได้มากที่สุด ขณะที่คนที่ทำประตูได้รองลงมาเป็นคนที่เหลือเชื่อ เพราะคือกัปตันทีมรามอส ที่ยิงไป 10 ประตูในฤดูกาลนี้ แม้ว่า 6 ในนั้นจะเป็นการยิงจุดโทษก็ตาม
ในลำดับต่อๆ ไปคือกองกลางอย่างโครสและคาเซมิโร ที่ยิงกันไปคนละ 4 ประตู ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยๆ กันยิงไปแล้วแต่มากน้อย
การที่ซีดานทำสิ่งนี้ได้ เกิดจากความสามารถในการบริหารจัดการทีมอย่างดี แม้แต่ผู้เล่นที่เขาไม่ต้องการอย่างเบลหรือฮาเมส โรดริเกซ ต่างก็ได้โอกาสในการลงเล่นตามสมควร ซึ่งแม้ผลงานจะไม่โดดเด่นสมราคา แต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่จัด
ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นคนอื่นที่จะถูกกระตุ้นและถูกทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นที่ต้องการ เป็นคนสำคัญของทีม นักเตะเหล่านี้จะทุ่มเทในการเล่นมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าทางเดียวที่จะช่วยให้ทีมไปสู่ความสำเร็จในยามที่ไม่มีนักเตะที่เป็น
พระเอกในทีมได้คือการที่ทุกคนต้องช่วยกันนั่นเอง
เบนเซมากับการทลายกำแพงครั้งสำคัญ
แต่หากจะมองหาพระเอกสักคนหนึ่งในทีมเรอัล มาดริดชุดนี้ อาจต้องยกรางวัลนี้ให้กับเบนเซมา ซึ่งซีดานช่วยให้เขาก้าวผ่านกำแพงในใจขึ้นมาได้สำเร็จ
เบนเซมาเดิมเป็นหนึ่งในกองหน้าดาวรุ่งที่ได้รับการยกย่องว่ามีพรสวรรค์สูงสุด มีพรสวรรค์ในการเล่นที่ชวนให้คิดถึง ‘เอล เฟโนมิโน’ โรนัลโด ต้นตำรับสุดยอดดาวยิงลูกหนังชาวบราซิล แต่พรสวรรค์นั้นไม่เปล่งประกายเท่าที่ควร เมื่อต้องอยู่ใต้รัศมีของโรนัลโดแห่งโปรตุเกส ที่ก้าวไปสู่การเป็นสุดยอดนักเตะแห่งยุค
ดังนั้นที่ผ่านมาเบนเซมาจึงพอใจกับการเป็นพระรองที่ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักของความคาดหวังมากนัก แต่เมื่อไร้เงาของ CR7 ที่จากไปยูเวนตุสแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องก้าวขึ้นมาเพื่อเป็นความหวังใหม่ของทีมแทน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อว่าเขาจะทำได้เพราะด้วยวัยและผลงานแล้วเหมือนจะอยู่ในช่วงขาลง
แต่ซีดานก็เปลี่ยนให้เบนเซมากลับมาเป็นคนสำคัญของทีมจริงๆ ในสไตล์ที่ดาวยิงจอมเทคนิคถนัดด้วย นั่นคือการที่ไม่จำเป็นต้องเป็นศูนย์หน้ารอล่าประตูในกรอบเขตโทษเพียงอย่างเดียว แต่เป็นศูนย์หน้าที่มีอิสระในการสร้างสรรค์เกม คอยสอดประสานช่วยเหลือเพื่อนในทีมในเกมรุก ทำให้ฟุตบอลของเรอัล มาดริดมีความลื่นไหลและมีจินตนาการมากขึ้น
ในฤดูกาลนี้เบนเซมาทำได้ถึง 21 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ มีเพียงแค่ ลิโอเนล เมสซี คนเดียวเท่านั้นที่มีผลงานดีกว่า ขณะที่หากนับรวมสองฤดูกาลที่ขึ้นมาเป็นศูนย์หน้าตัวหลักของทีม เบนเซมาทำได้ถึง 42 ประตู ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าสองฤดูกาลก่อนหน้า (2016-17 และ 2017-18) ที่ทำประตูรวมกันได้เพียงแค่ 16 ประตูเท่านั้น
ซีดานเองยังช่วยแบ่งเบาด้วยการที่ให้เขามีคู่หูอย่างอาซาร์ ที่แม้จะใช้เวลาในการปรับตัว แต่ก็ค่อยๆ เล่นร่วมกันได้ดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงสองสตาร์ดาวรุ่งชาวบราซิลอย่าง วินิเชียส จูเนียร์ และโรดริโก ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในฤดูกาลนี้ ซึ่งมีพี่ใหญ่อย่างเบนเซมาประคับประคองให้
วางรากฐานสู่อนาคต
ถึงจะนำทีมคว้าแชมป์ลาลีกาได้สำเร็จ แต่ซีดานยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องทำและสำคัญมาก คือการค่อยๆ ถ่ายเลือดใหม่สู่ทีม
เพราะแม้ในฤดูกาลนี้จอมเก๋าอย่างรามอส (34 ปี), โมดริช (34 ปี) และเบนเซมา (32 ปี) จะทำผลงานได้ดี แต่ด้วยวัยของพวกเขาแล้วไม่ต่างอะไรจากไม้ใกล้ฝั่ง ดังนั้นสิ่งที่ซีดานต้องทำคือการให้โอกาสแก่นักฟุตบอลในอนาคต
ในฤดูกาลนี้ซีดานนอกจากจะช่วยเจียระไนเพชรเม็ดงามอย่างวินิเชียสและโรดริโก ซึ่งเป็นสองสตาร์ดาวรุ่งที่มาจากนโยบายในการสร้างทีมแบบใหม่ของเรอัล มาดริด ที่จะไม่ทุ่มเงินมหาศาลในการซื้อผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์มาอย่างพร่ำเพรื่ออีก แต่จะใช้การเฟ้นหาสุดยอดดาวรุ่งพรสวรรค์สูงมาขัดเกลาแทน กุนซือชาวฝรั่งเศสยังได้ค้นพบของดีอย่าง เฟเดริโก บัลเบร์เด ที่เป็นหนึ่งในสายเลือดใหม่ของทีมที่ได้โอกาสลงเล่นถึง 42 นัดในฤดูกาลนี้
นอกจากนี้หากต้องการจริงๆ ซีดานยังมีโอกาสจะเรียกตัวดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสในการไปแจ้งเกิดกับทีมอื่นอย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด (เรอัล โซเซียดัด), ทาเคฟุสะ คุโบะ ไอ้หนูมหัศจรรย์ชาวญี่ปุ่น (เรอัล มายอร์กา) และแบ็กซ้ายจอมตะลุยอย่าง เซร์คิโอ เรกิลอน (เซบียา) กลับมาในฤดูกาลหน้า ไม่นับ มาร์โก อเซนซิโอ ปีกซ้ายจอมเลื้อยที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนักกลับมาอีกครั้ง
ส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยหนุนของทีมคือความตกต่ำที่เกิดจากปัญหาภายในของบาร์เซโลนา ที่มีส่วนช่วยให้เรอัล มาดริดแซงหน้าสู่แชมป์ได้ในฤดูกาลนี้ แต่ในฤดูกาลหน้าบาร์ซาก็สามารถจะกลับมาได้เช่นเดียวกัน หากพวกเขาพบโค้ชคนใหม่ที่เก่งพอ
ดังนั้นถึงงานมหาหินครั้งนี้จะสำเร็จลงด้วยดี แต่ไม่ได้แปลว่างานของซีดานจะจบลงแค่ตรงนี้
ยังมีสิ่งที่ศิลปินลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ต้องทำอีกมาก และน่าติดตามว่าเขาจะนำทีมไปได้ไกลถึงไหนกัน
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/53385358
- https://www.bbc.com/sport/football/47528561
- https://www.skysports.com/football/news/11095/11662390/zinedine-zidane-returns-to-real-madrid-why-has-he-come-back
- https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/how-zinedine-zidane-turned-real-22240006
- https://fansided.com/2020/03/19/real-madrid-brazilian-pipeline-galacticos/
- https://www.telegraph.co.uk/football/2020/02/25/real-madrid-reshaped-transfer-policy-unearth-south-americas/?WT.mc_id=tmgliveapp_iosshare_At5CN3nk7r7N